ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

กรรมของสัตว์

๒๑ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

กรรมของสัตว์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พูดถึงธรรมะนะ เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ จะคิดถึงยา คิดถึงสิ่งที่จะทำให้เราเป็นสุข คิดถึงสิ่งที่จะทำให้เราพ้นจากความทุกข์อันนี้ให้ได้ ทีนี้ธรรมะนี่ มันเป็นการแก้ มันเป็นยาที่ละเอียดลึกซึ้งมาก เพราะหัวใจของเราเป็นนามธรรม หัวใจของเรามันต้องการยาอะไร ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยนะ ถ้ามียารักษามันจะหายได้ แต่เวลาจิตใจนี่ เราจะเอาอะไรไปรักษามัน เราไม่เข้าใจกันหรอก

สิ่งที่พูดกันเห็นไหม เวลาไปหาพระหาเจ้า ไปหาพระเจ้า ไปอ้อนวอนไปขอเอา สิ่งที่ไปอ้อนวอนไปขอเอา นั่นเป็นเรื่องสิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยน่ะ เห็นไหมเวลาทำบุญนะพระเขาสอนกันนี่ แล้วคนเห็นแล้วทึ่งมากนะ ประเด็นนี้จะชักเข้ามาที่ปฏิบัติเรื่องสมาธิๆ นี่ เนี่ย เวลาไปถึงนะ ทำบุญกับพระนะ เขาบอกว่านี่ค้ากำไรเกินควร ตักบาตรนิดเดียวก็จะเอานิพพาน นี่เขาพูดของเขาไปอย่างนั้น เพราะเขาคิดเอาวิทยาศาสตร์มาจับไง วิทยาศาสตร์ธุรกิจการค้าเห็นไหม

การตอบสนองนะมันก็ต้องไปสมดุลใช่ไหม นี่ตักบาตรนิดเดียวก็จะเอานิพพาน เพราะเราคาดกันว่านิพพานสูงส่งมากไง สูงส่งมากจนเอื้อมไม่ถึง และการทำบุญตักบาตรนี่ หวังผลประโยชน์เพราะมีความคิดกันอย่างนั้น เวลาไปหาพระหาเจ้าก็ไปขออ้อนวอน ขอให้เราประสบความสำเร็จ ความสำเร็จหรือความไม่สำเร็จน่ะมันอยู่ที่เรา ใช่ มันอยู่ที่อำนาจวาสนาส่วนหนึ่ง

แล้วคนมีอำนาจวาสนาเวลาเกิดนะ มีหลายครอบครัวมาก เราสังเกตของเราเพราะเราปฏิบัติธรรม ลูกศิษย์เราเองนี่แหละมาอยู่กับเรา ทุกคนเราจะสังเกตมาก มีครอบครัวนะ บางทีนี่เห็นไหมมีลูกคนแรกเห็นไหมฐานะทางครอบครัวดีมากเลย โอ้ลูกคนนี้ซื้อทุกอย่างมีเท่าไรให้หมดเต็มที่เลย พอลูกคนที่ ๒ ที่ ๓ ฐานะเราไม่ค่อยดี เก็บของเล่นจากคนพี่มาให้คนน้อง นี่ไง เราเกิดในพ่อแม่เดียวกัน เราเกิดต่างๆ เห็นไหมนี่ กรรมมันพาเกิดไง นี่คืออำนาจวาสนาส่วนหนึ่ง

เรามาทำสิ่งใดมีอำนาจมาส่วนหนึ่งแต่ความสำเร็จอยู่ที่การกระทำของเรา อยู่ที่ความตั้งใจจริงของเรา และอยู่ที่ความเข้มแข็งของจิตใจเรา แต่ทีนี้พูดถึงว่าการค้ากำไรเกินควร สิ่งต่างๆ มันพูดทางวิทยาศาสตร์นี่ เมื่อไม่พูดนะ เนี่ย หมอชีวกนะ หมอชีวก โกมารภัจจ์ เป็นหมอที่รักษาพระพุทธเจ้า เวลาเกิดมานะ มีพราหมณ์ที่พยากรณ์ว่าเด็กคนนี้เกิดมาจะเป็นคู่แข่งกับลูกเขา เขาเอาไปนะ เขาจะฆ่าตายเขาก็ทำไม่ลงใช่ไหม

ฝูงโคมาเขาก็ไปวางไว้ให้โคเหยียบให้ตายซะ มีโคหัวหน้าฝูงมันมาค่อมไว้มันก็หลบกันไปได้ เขาพยายามจะฆ่าเด็กคนนี้อย่างไรก็ฆ่าไม่ได้ เนี่ย ถึงสุดท้ายแล้ว เขาเองเวลาโตขึ้นมา มีการศึกษาจนมาเป็นหมอประจำพระพุทธเจ้านะ เวลาสิ่งที่มันทำมาของที่มันทำมา มันมี อย่างในปัจจุบันนี่ เราเห็นว่าสิ่งนี้มันไม่น่าเชื่อถือ มันเป็นไปไม่ได้ บุญกุศลเรามองไม่เห็นเลย เรามองเห็นไหม

ใครคดใครโกงได้มากขนาดไหน คนนั้นจะมั่งมีศรีสุข ไอ้เราคนซื่อคนทำตามศีลธรรม เราทุกข์เราจนเห็นไหม มันมีอยู่ ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่งถ้าทางวัตถุอันนั้นเขามีความสุขจริงไหม อย่างเช่นเรานี่ เราทุจริตมา ทำอะไรสิ่งต่างๆ มานี่ อุ้ยเราไม่เป็นสุขหรอก กลัวเขาจะรู้ นั่งทับไว้อย่างนี้ โอ้โฮ ทุกข์มาก นี่หน้าตาชื่นบานไปอย่างนั้นเองน่ะสังคม นี้พูดถึงเรื่องของวัตถุนะ

แต่ถ้าเรื่องของนามธรรมล่ะ สิ่งที่เราคดโกงเขามานะ สิ่งนั้นมันเป็นบุญเป็นกรรม มันฝังใจมานี่ขนาดไหน นี่เราไปมองกันว่า เขาทำมา เขาทำของเขา เขาคดเขาโกง ทำไมเขาร่ำเขารวย ร่ำรวยอย่างนั้นนะสิ่งที่ได้มาโดยที่ไม่สุจริตนะสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์กับสิ่งใดๆ หรอก แต่ถ้าเราได้มาโดยสุจริต อย่างเรานี่ โอ้โฮ คนนี้สร้างบุญมาเยอะ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ อู้ฮู เงินทองไหลมาเทมาเลย แล้วถ้าบอกว่าทำไมไม่หยุดสักทีๆ อันนี้หยุดมันก็หยุดไม่ได้เพราะสิ่งที่มันสร้างมา

ของมันสร้างมาของมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเห็นไหม คือเราได้มาสุจริตๆ เราทำหน้าที่การงาน ได้สุจริต สิ่งนี้ไม่ใช่กิเลสนะ เราทำหน้าที่การงานน่ะ สิ่งที่ได้มาไม่ใช่กิเลสหรอก แต่ถ้าเราทำของเราแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น แล้วเราคาดหมายว่าเราต้องการนี่ กิเลสมันถือว่าสิ่งที่มันไม่เป็นอย่างนั้น แล้วเราอยากให้มันเป็นน่ะ ตัณหาความทะยานอยากไง ทำให้เราทุกข์มากเลย นี่ประเด็นหนึ่ง

ประเด็นเรื่องของแก้วแหวนเงินทอง เรื่องของปัจจัยเครื่องอาศัย อีกประเด็นหนึ่ง บุญในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาบุญคือ ในครอบครัวของเรายิ้มแย้มแจ่มใส ดูสิครอบครัวไหนบ้าง ถ้าลูกหลานเรานี่ โอ้โฮ พูดก็เชื่อฟัง โฮ เป็นคนดีดูแลพ่อแม่ มีความสุขมากเลย นั่นคือบุญจริงในศาสนา บุญในศาสนาคืออยู่ตรงนี้ไง อยู่ที่ในครอบครัวเรายิ้มแย้มแจ่มใสมันมีความสุขใจไง ความสุขใจอันนั้นคือบุญ

แต่เราไม่มีความสุขใจเลย ถ้าเราไม่มีแก้วแหวนเงินทองไว้เยอะๆ ไว้อวดเขา ถ้าเรามีแก้วแหวนเงินทองมากๆ เราว่าเราก็มีบุญ ถ้าทางธรรมนะโอ้ยขี้ข้า คอยเอามาเช็ดเอามาล้าง โฮ ขี้ข้านะมีเงินเยอะๆ นี่นะ ไอ้คนเจ้าของเงิน ขี้ข้าเงินนะ มันต้องบริหารจัดการนะ วางไว้ไม่ดี เดี๋ยวเขาก็ลัก ขี้ข้ากระดาษ แต่ทางโลกเขาว่า ร่ำรวยนะ มีความสุขมาก นี่พูดถึง บุญคือความสุขของเรานะ มั่งมีศรีสุขนั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง

นี่พูดถึงว่าค้ากำไรเกินควรไง สิ่งที่เขาคิดกันเขาพูดกัน นี่พูดถึงทางโลกนะ ถ้าย้อนกลับมาปฏิบัตินี่ เวลาเริ่มปฏิบัติเรื่องศาสนานี่ ศาสนานี้มีค่าสูงส่งมากแต่พวกเราใช้ศาสนาด้วยความต่ำต้อยมาก เอาศาสนามาเป็นแค่พิธีไง เห็นพระเป็นภารโรง พระภารโรงเห็นไหม ตามโรงเจนี่ ถึงเวลาเขาก็เปิดให้คนเข้าคนออก เห็นพระเป็นภารโรงนะ เห็นพระเป็นตรายางไง พระมีหน้าที่รับทำบุญ

เราก็อยากทำบุญใช่ไหม เป็นชาวพุทธก็อยากทำบุญ มีพระทำบุญก็ทำบุญ นี่ไง เราใช้ศาสนากันแค่นั้นเหรอ พระนี่เป็นครูบาอาจารย์ของเรา เป็นที่เคารพบูชาของเรา เป็นคลังความรู้ที่เราจะศึกษาเอาจากท่าน ศึกษาจากท่านนี่เห็นไหม สมบัติของท่าน แล้วสมบัติของเราล่ะ ถ้าสมบัติของเราคือการปฏิบัติของเรา สมบัติของเรานะ ดูสิ เอาอาหารมาตั้งอย่างนี้ ทุกคนอยากกินเพื่อความอิ่มหนำสำราญของตัวเอง

เวลาบุญกุศลเอาเข้าใจนี่ สมาธิปัญญานี่ เอาเข้าใจนี่ เขาซักศาสนา ศาสนาอยู่นี่ ศาสนาคือศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจนี่ ตัวคำสั่งสอน นี้คือตัวศาสนา วัดไม่ใช่ศาสนาทุกอย่างไม่ใช่ศาสนานะ ศาสนบุคคล เป็นศาสนวัตถุ เป็นศาสนพิธี ตรงไหนเป็นศาสนา และศาสนบุคคลนี่ แล้วตรงไหนเป็นศาสนาล่ะ

นี้เวลาครูบาอาจารย์เห็นไหม อย่างหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติไป โอ้โฮ พอถึงนี่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต พอจิตใจมันถึงธรรม พอใจเป็นธรรมนี่ตัวศาสนา ตัวศาสนาคือศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วใจที่เป็นธรรมอันนั้นน่ะวางหลักเกณฑ์เอาไว้ วางหลักเกณฑ์ไว้วิธีการทุกๆ อย่าง ท่านเข้าไปทำสู่ถึงหัวใจ

หัวใจที่สัมผัสการกระทำอันนั้น ถ้าหัวใจได้สัมผัสการกระทำอันนั้น นี่ตัวธรรม ตัวธรรมอยู่นี่ ว่าตัวธรรมๆ นะ ตัวธรรมก็เป็นตัวหนังสือไง หนังสือตัวธรรมไง ตัว ข อักษร ข มันเป็นตัวธรรม นี่ภาษาสมมุติเขา แต่ถ้าเป็นตัวธรรมจริงๆ ในศาสนา ตัวธรรมคือใจที่มันมั่นคง ใจที่มันไม่วอกแวกวอแวจนกระแสอย่างไรก็ชักจูงใจของเราไปไม่ได้

ใจของเรานี่มั่นคงมาก เพราะว่าอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นนะ มันเป็นเวรเป็นกรรมทั้งนั้นล่ะ พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกมันเป็นเรื่องธรรมดา ลมหายใจเข้าออก การเกิดการตายเป็นเรื่องธรรมดาหมดล่ะ นี่สิ่งที่กระทบกระเทือนกันเห็นไหม ไม่มีเวรมีกรรมต่อกันน่ะ มันจะมีเวรกรรมมาจากไหน นี่ในสมัยพุทธกาลเห็นไหมที่ว่า เวลาพระที่เขามีปัญหากัน เวลามีปัญหากัน

เขาบอกว่า พระที่โดนกระทำนะ เป็นที่แบบว่าโดนเขากระทำ ก็บอกว่าไม่ใช่หรอก ไอ้คนโดนกระทำ กระทำเขามาก่อน สิ่งนี้มันเป็นพูดถึงเวรถึงกรรมนะ ถ้าเวรกรรมน่ะ เวรกรรมได้อย่างไร ก็ดูสิ ก็เขามาทำลายเรานี่ เวรกรรมได้อย่างไร ตั้งใจนี่ ผิดกฎหมายๆ เขาว่านะ สิ่งที่ผิดกฎหมาย ใช่ มันผิดกฎหมาย สิ่งที่เขาทำมา แต่ถ้ามันไม่มีสิ่งใดเลยทำไมมันต้องมาลงที่เราล่ะ

นี่ ดูสิในกรุงเทพฯ เห็นไหม ขับรถไปนี่ ทางด่วน ไอ้คอนกรีตมันหล่นลงมาทับไอ้รถคันนั้นพอดีเลย อ้าว รถวิ่งมาเป็นร้อยเป็นพันนะ ทำไมมาลงคันนี้ล่ะ แล้วทำไมไอ้คันนี้มาโดนล่ะ ถ้าพูดถึงเวรกรรมนะถ้าเป็นวิทยาศาสตร์จะบอกว่าเป็นลัทธิยอมจำนน ยอมรับยอมจำนน ไม่ใช่ เป็นความจริงอริยสัจเป็นความจริงอันหนึ่ง สิ่งที่มันได้สร้างมา เราใช้คำว่าพันธุกรรมทางจิต

จิตนี่มันได้สร้างมา มันมีการเกิดการตายเวียนว่ายในวัฏฏะมา มันมีผลของมัน ถึงที่สุดผลมันจะเกิดอย่างนั้น ทีนี้เราจะมองว่าเป็นอุบัติเหตุ มองว่ามันเป็นความจริง มองว่ามันเป็นความสะเพร่าของคน ใช่ เพราะมันสะเพร่านะสิ มันถึงได้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้น แล้วทำไมมันต้องสะเพร่าแล้วมันต้องลงที่เราล่ะ อันนี้เป็นอันหนึ่งนะ

อันนี้กรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมที่มันเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ เวลาถ้าเราศึกษาในศาสนานี่ สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วนี่ เราเข้าใจของเรา แล้วย้อนกลับเข้ามา แล้วเราจะมาเป็นอย่างนี้อีกไหม เนี่ย ที่ว่าใช้ศาสนาไง ถ้าเราคิดว่ามันเป็นอย่างนี้อีกนี่ เราจะซักฟอกใจเราไหม ใจของเรา เราควรจะทำให้มันดีขึ้นไหม สิ่งที่เราจะประสบในชาตินี้นะ เราไม่ได้เพิ่งมาประสบในชาตินี้หรอก เราเคยเป็นอย่างนี้มาเยอะแยะ

เราเคยเกิดเคยตายกันมาทุกภพทุกชาติ พระพุทธเจ้าบอกนะ แต่ละคน ถ้าเอาสิ่งที่เกิดตายๆ ให้มาเป็นของคงที่ไว้ ซากศพนี่ ไม่มีที่อยู่ที่อาศัยเลย แต่นี่มันย่อยสลายไป นี้พอจิตที่มันเคยเกิดเคยตายนี่ สิ่งที่เราเป็นอยู่นี่ เราเคยเป็นมาแล้วซ้ำๆ ซากๆ แต่เราเป็นของใหม่นะ ยิ่งวัยรุ่นนี่ โอ้โฮ อนาคตนี่สดใสมาก เนี่ย มันมีอนาคตที่ยาวไกล มองโลกนี้ โอ้โฮ มีความสุข แล้วคนแก่คนเฒ่า มันไปอีกอย่างหนึ่ง แล้วก็จะซ้ำอย่างนี้อีกๆ

ฉะนั้นถ้าเรามาศึกษาธรรมะนี่ มันไม่ใช่ศึกษาธรรมะแล้วนะ เขาบอกเลยนะ เวลาศึกษาธรรมะแล้วนี่โลกนี่จะร้างจะไม่มีคนเกิด ไม่ใช่หรอก ทำไมเมื่อก่อน สมัยเราเด็กๆ ๑๖ ล้านนะ ครูบาอาจารย์ท่านบอก ๘ ล้านเท่านั้นน่ะ ๘ ล้าน ๙ ล้าน มา ๑๖ ล้านเดี๋ยวนี้ ๖๐ กว่าล้าน ไม่ต้องไปห่วงเรื่องที่ว่าจะไม่มีคนมาเกิดน่ะ คนมาเกิดอีกเยอะแยะ จิตจะเกิดอีกมากมายมหาศาลเลย

แต่ห่วงหัวใจของเรานี่ ถ้าห่วงหัวใจของเรา เราจะแก้ไขใจของเราอย่างไร นี่ศาสนาแก้ตรงนี้ อย่างอื่นแก้ไม่ได้ อย่างอื่นอาศัยเจือจานกันไป สิ่งใดจะพึ่งพาอาศัยกันแต่ที่เราจะแก้ไขได้นี่ มันเรื่องของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราจะเอามาสถิตในหัวใจของเรา นี่ที่สถิตในหัวใจของเราเห็นไหม

เวลาเราจะปฏิบัตินะ พุทธศาสนานี่ ทาน ศีล ภาวนา เรื่องการภาวนาเป็นสำคัญมาก เพราะการภาวนานี่ มันจะทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้ การภาวนาจะได้สัมผัสรสของธรรมนะ รสของสมาธิ รสของความสุข รสของการปล่อยวาง รสของที่ไม่มีขายในท้องตลาด ไม่มี ไม่มีหรอก ในจักรวาลนี้ไม่มีขาย ไม่มีเลย แล้วเราหาได้ในหัวใจของเราเอง นี่ศาสนาสอนที่นี่ ถ้าศาสนาสอนที่นี่เห็นไหม

ในการปฏิบัติ พอปฏิบัติปั๊บมันก็เข้าหลักแล้ว ที่ว่าทำอย่างโน้นดีกว่านี้ ทำอย่างนี้ดีกว่าทำอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้หรอก เราอยู่ภูมิภาคไหน ภูมิประเทศที่ไหนเราเคยชินอาหารอย่างไร มันจะอร่อยของเรา ตั้งแต่เด็กที่เกิดมานี่ เด็กเขาเกิดมานะ ดูสิ เศรษฐีมหาเศรษฐีนี่ เวลาเขาทุกข์จนมาก่อน เขากินอะไรไม่อร่อยหรอก เนยแข็งกับขนมปังอร่อยที่สุดเลย เพราะมันกินมาตั้งแต่เด็กๆ

นี่ไง สิ่งที่ว่าของใครดี ที่ว่าของดีๆ ดีของใคร นี่ไม่มีของใครดีหรอก ทีนี้ถ้าของที่มันดีมันต้องหัวใจมันพอใจ ถ้าหัวใจพอใจนะ มันจะย้อนกับมาที่นี่ สิ่งที่ว่าใครจะดีกว่าใครๆ ดีกว่าใครมันอยู่ที่จิต จิตนี่มันพัฒนามาระดับไหนและมันควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ทีนี้โดยมาตรฐานเห็นไหม เวลาภาวนาไป คนที่เขาเริ่มหัดภาวนานี่ จะกลัวเห็นผีเห็นสาง กลัวจะทุกข์จะยาก กลัวไปหมดไง

ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรนะ ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เวลากินเหล้าเมายานะ คนกินเหล้าเมายานี่ มันเมาเหล้า มันขับรถไปมันเจออุบัติเหตุอยู่แล้ว ไม่เห็นมันกลัวนะ เวลามันกินเหล้ากัน มันไม่เคยกลัวเลยนะว่ามันจะกลับบ้านไม่ได้ แต่เวลาปฏิบัตินะ โอ้โฮ จะเจอผีเจอสางมันกลัวไปหมดนะ นี่พอมันกลัวไปหมดปั๊บ มันเข้าหลักเขาแล้ว เขาหลอกได้เลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะการปฏิบัตินี่ เรานั่งกันอยู่นี่ เราไม่ได้ฉีดวัคซีนไว้ เราไม่ได้ป้องกันโรคไว้ เรานี่อยู่ด้วยกัน เราจะป้องกันโรคกันอย่างไร

จิตของเรา เวลามาปฏิบัติ มันต้องมาประสบกับตามจริตของจิตดวงนั้น คนเรานะเวลามีโรคภัยไข้เจ็บ เขาจะมีวัคซีนป้องกันของเขา เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเป็นของของเขา นี่ร่างกายนะ แล้วหัวใจล่ะ วัคซีนที่มันจะป้องกันไม่ให้เห็นผีเห็นสางให้มันตกใจนะมันอยู่ที่ไหน วัคซีนนั้นอยู่ที่ไหน มันไม่มี คือพอมันไม่มี เพราะอะไร เพราะกรรมน่ะ กรรมมันมาจากอดีตชาติ กรรมมันสร้างมาแต่ของเก่าๆ

พันธุกรรมทางจิตมันสร้างมา ตั้งแต่อดีตกาลมามหาศาล พระพุทธเจ้าบอกว่าย้อนอดีตชาติไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีต้นไม่มีปลาย พระพุทธเจ้านี่ ๔ อสงไขยแสนมหากัป ๔ อสงไขย ตั้งแต่นับไม่ได้ถึง ๔ ครั้ง การสร้างจิตอันนี้มา แล้วจะไปฉีดวัคซีนชาติไหน จะไปฉีดวัคซีนกันที่ไหน นี่จิตมันไม่มีการฉีดวัคซีนมา ไม่มีการป้องกันมา เวลาปฏิบัติไปมันก็เป็นไปตามแต่อำนาจวาสนาตามแต่กรรมอันนั้น

ถ้าจิตมันต้องเห็นนิมิต มันก็ต้องเห็นนิมิต มันเห็นอะไรมันก็ต้องเห็นอย่างนั้น พอเห็นอย่างนั้นปั๊บ คำว่าเห็นนี่นะ คือจิตมันเปลี่ยนแปลง รถ ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหว เข็มไมล์กระดิกไม่ได้ จิตของปุถุชน จิตธรรมดานี่ เราเห็นอะไร เราก็นอนหลับทุกวันนะ เราก็นั่งอยู่นี่ เราเห็นอะไร จิตเราจะเห็นอะไร ก็ไม่เห็นน่ะ เพราะจิตปุถุชนมันจะเห็นอะไร

ถ้าจิตมันลงสมาธิ จิตที่มันลงลึกเข้าไป อาจจะเห็นได้ พออาจจะเห็นได้ก็ว่า ผิดๆๆๆๆ ทำอย่างนี้มันจะเป็นบ้า ไม่มีครูบาอาจารย์ ก็วิตกวิจารกันไป พอวิตกวิจารกันไป ก็บอกแล้วว่าต้องเป็นอภิธรรม ต้องใช้ปัญญา ถ้าใช้ปัญญาแล้วนี่ มันจะไม่เห็นนิมิต ใครพูดๆ จริงหรือเปล่าไม่เห็นนิมิตน่ะ ในเมื่อถ้าจิตดวงนั้น เขาได้สร้างกรรมของเขามา มันต้องไปเห็น

เพราะมีผู้ปฏิบัติมาหาเราเยอะมาก กำหนดนามรูปนี่แหละ อภิธรรมนี่แหละ เนี่ย เห็นนิมิตไปหมดน่ะ มาหาเรานี่ เราถามกลับว่า ไหนบอกว่าไม่เห็นนิมิตไง ไหนบอกไม่เห็น มันเป็นค่านิยม ค่านิยมที่สร้างขึ้นมาบอกใครผิดใครถูกใครมีมากใครมีน้อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าปฏิบัติจริงๆ เข้าไปสิ มันเป็นค่านิยมแล้วเราเศร้าใจ เราเศร้าใจว่าค่านิยมนี้เป็นค่านิยมของโลก คือค่านิยมของทางวิทยาศาสตร์ แล้วเอาค่านิยมนี้มาดึงไว้ ให้จิตเราไม่ให้ลงลึกไปไง คือไม่ให้จิตเรานี่เป็นธรรม

ถ้าจิตเราเป็นธรรมนะศีล สมาธิ ปัญญา พอเป็นสมาธิขึ้นมานี่ มันจะมีประสบการณ์ของมัน มันจะรู้เห็นสิ่งต่างๆของมัน ตามแต่อำนาจวาสนา ตามแต่พันธุกรรมทางจิต ที่จิตนั้นมันได้รับ มันได้สร้างของมันมาและถ้ามันเป็นจริงอย่างนั้นมันก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้นโดยธรรมชาติของมัน

แต่บอกไม่ให้เห็น ไม่ให้เป็น เพราะมันลงไปถึงมันเห็นมันถึงเป็น ไม่ให้เห็นไม่ให้เป็นเพราะอะไร เพราะว่า ถ้าภาวนาพุทโธหรือใช้ทำสมาธิขึ้นไป จิตมันมีการเปลี่ยนแปลงเพราะจากจิตปุถุชน กัลยาณปุถุชน คือจิตจากปุถุชนมันเข้าสมาธิ พอเข้าสมาธินี่ จิตมันเปลี่ยนแปลงเห็นไหม มันก็เข้าไปเห็นตามคุณสมบัติของมัน

พอเห็นตามคุณสมบัติของมัน บอกผิด ถ้าออกมาเป็นปุถุชนออกมาแบบรถไม่ต้องขยับเลย รถจอดแม่งตายอย่างนี้ ล็อกล้อให้ตายไปเลย เข็มไมล์จะได้ไม่กระดิกไง นี่ก็เหมือนกัน คือ ล็อกจิตเอาไว้เลยนะ ห้ามจิตขยับ ห้ามจิตละเอียดไง ต้องใช้ปัญญาอยู่อย่างนี้ ปุถุชนกันอยู่อย่างนี้ คิดกันอยู่อย่างนี้ โอ้โฮ ตรึกกันอยู่อย่างนี้ โอ้โฮ มันส์ โอ้โฮ ไม่มีความผิดพลาดเลย อู๋ย ถูกหมดเลย

นี่ไง บอกใครถูกใครผิด ที่เราพูดอยู่นี่ เพราะเป็นเหตุนี้แหละ เหตุที่เราโต้แย้งอยู่นี่เพราะอะไร เพราะจิตมันต้องเป็นไปตามกระแสของมัน จิตมันต้องวิวัฒนาการของมันเข้าไป มันถึงการแก้ไขจิต มันถึงการรักษาจิต มันถึงการดูแลการพัฒนาของมัน นี่คือศาสนา ตัวศาสนามันอยู่ตรงนี้ ตัวของศาสนานี่คือตัวศาสนามันอยู่ที่ใจ ถ้าใจสัมผัส ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต

จิตไม่สงบ มันก็ได้รับรู้รสแห่งธรรม ว่ามีความสุขของใจ จิตมีปัญญาขึ้นมามันก็มีปัญญาของมันตามธรรมชาติของมัน ไม่ได้ ผิดๆ มันต้องใช้ปัญญาชอบ ปัญญาสายตรง ปัญญาที่เราต้องใช้ตรึกเอาอยู่นี่ สมองคิดอยู่นี่ แล้วจิตแม่งลงสมาธิไม่ได้เลย ห้ามเอาลง ลงเดี๋ยวมันเจอนิมิต ลงเดี๋ยวมันเกิดอะไร ก็ให้มันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วบอกว่านี่ ถูก

ไม่เคยเห็นผีเลย จิตไม่เคยเห็นอะไรเลย ก็ไม่เห็นนี่ก็ไม่ให้มันเห็น มันจะเห็นได้อย่างไร ก็ไม่ให้มันลงนะ นี่บอกว่าถูกๆๆๆๆ ใครถูก คนที่พูดอย่างนี้ เพราะเขาไม่เคยปฏิบัติ จิตเขาไม่เคยเป็น เขาไม่มีครูบาอาจารย์แบบพวกเรา พวกเรามีครูบาอาจารย์ของเรา เราฝึกของเรามาก่อน พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะจากฟองไข่ออกมา พระพุทธเจ้าเป็นองค์แรก ที่เกิดในพระพุทธศาสนา เป็นเจ้าของศาสนา

ครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่มีใครทำแล้ว ท่านก็พยายามฝึกของท่านมา ท่านมีประสบการณ์ของท่านมา ท่านพยายามสร้างของท่านมา แล้วท่านเจาะฟองอวิชชาออกมาเหมือนกัน ท่านถึงมาสั่งสอนพวกเรา แล้วเรามีผู้รู้จริงคอยบอกไว้ตามความเป็นจริง เพราะว่าตามความเป็นจริงนะ มันก็สร้างคุณสมบัติ สร้างสิ่งที่บุคลากรในศาสนานี้ เป็นหลักเป็นชัยมา

คนเรามันไม่มีของจริงมันก็ไม่มีของเทียมใช่ไหม ไม่มีของจริงขึ้นมาเป็นตัวอย่างเอาของเทียมมาจากไหน นี่มีครูบาอาจารย์เราเป็นหลักเป็นชัยเป็นที่เคารพบูชาของเขา เขาก็สร้างตัวเองให้ขึ้นมาเหมือน เหมือนสิ พุทธพจน์ๆ พูดพุทธพจน์ทั้งนั้นล่ะ แต่ไอ้คนพูดพุทธพจน์ไม่รู้จักพุทธพจน์นะ

พูดพุทธพจน์แต่ถามปัญหางงไปหมดนะ ก็พุทธพจน์น่ะ เถียงได้ไง พุทธพจน์ห้ามเถียง ไม่ได้เถียงพุทธพจน์ แต่พุทธพจน์นี้เกิดมาจากอะไร พุทธพจน์ที่จะได้มานี่ อิ่มท้องนี่กินมาจากอะไร ท้องอิ่มกินอะไรมา ท้องอิ่มเอาอะไรใส่ปากมา เคี้ยวอะไรลงไปในกระเพาะมันถึงท้องอิ่มมา พุทธพจน์ก็คือพุทธพจน์ไม่ได้เถียง อิ่มก็คืออิ่ม

แต่กินอะไรมาถึงอิ่ม ไม่รู้ ไม่ได้กินแต่อิ่ม ก็อยู่เฉยๆ นี่อิ่ม อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย อิ่ม เชื่อไหม แล้วบอกไม่ให้เถียงพุทธพจน์ ไม่ได้เถียงพุทธพจน์ เถียงคนพูดพุทธพจน์น่ะทำอย่างไรถึงจะเกิดพุทธพจน์ เพราะอะไร อภิธรรมนี่มันเป็นอภิธรรม ไม่ได้เถียงน่ะ พระไตรปิฎกสามตะกร้า สุตตันตปิฎก วินัยปิฎก อภิธรรมปิฎก

อภิธรรมปิฎกนี่มันเป็นผลสำเร็จของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วจะบอกว่าจิตมันเป็นอย่างนั้นๆ มันเป็นผลของผู้ที่สำเร็จแล้ว แต่วิธีการที่กระทำอยู่นี่ วิธีการเข้ามานี่ ไม่ได้เถียงนะไม่ได้เถียงพุทธพจน์แต่วิธีการที่จะทำ วิธีการที่จะเข้าไปถึงนะ บอกมาสิอาจารย์บอกมา ทำอย่างไรบอกมา

แล้วเวลาเราบอกให้ทำ ครูบาอาจารย์เราบอกให้ทำนะ ศีล สมาธิ ปัญญา รักษาศีลให้ดี ทำจิตให้สงบขึ้นมา แล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญขึ้นมา มันไม่ตรงพุทธพจน์ เศรษฐีมหาเศรษฐีนะเงินเขามหาศาลนะเขาใช้จ่ายอย่างไรของเขาก็ได้ ไอ้เราคนทุกข์คนจน เราคนจะสร้างเนื้อสร้างตัวนี่ เราต้องประหยัดมัธยัสถ์ เราต้องดูแลรักษาเราต้องขวนขวาย แล้วทำของเรา จิตเราถึงจะเป็นเศรษฐีกับเขาบ้าง

เห็นเขาเป็นเศรษฐี ก็อยากเป็นเศรษฐี แล้วมันจะเป็นเศรษฐีได้อย่างไรถ้ามันไม่ได้ทำ มันจะเป็นเศรษฐีได้อย่างไร เศรษฐีธรรมไง นี่จับหลักอันนี้ แล้วใครจะพูดอย่างไรมันเรื่องของเขา ใจเรานี่มันสำคัญ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ อย่าไปเชื่อใครเลย เชื่ออย่างนั้น การกระทำนี่นะ จิตมันจะดีขึ้น การที่เราทำ จิตมันจะสงบบ้าง จิตมีหลักมีเกณฑ์เข้ามาบ้าง

จิตอันนี้มันจะพัฒนาของมัน แล้วไม่ให้ทำ พอทำไปแล้วมันจะไปรู้ไปเห็นอะไรมันกลัวมันจะเป็นอะไรก็ให้มันเป็น มันเป็นสิ่งที่เรากระทำมา กรรมมันสร้างมา กมฺมพนฺธุ เป็นกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กมฺมปฏิสรโณ กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นแดนเกิด มีการกระทำ

จิตมันมีการกระทำของมันมาทั้งนั้นน่ะ แล้วทำไปมันก็เจอไอ้สิ่งที่การกระทำอันนั้นนะมันจะแสดงออกมาๆ แล้วโทษใครล่ะ ก็เราทำมาทั้งนั้นนะ เป็นของของเรา เป็นกิเลสของเรา เป็นความสุขความทุกข์ของเรา ที่เราต้องเผชิญ แล้วต้องแก้ไขตามแต่กรรมของเรา สิ่งที่มันเกิดกับเรา มันทำให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์อยู่นี่ สิ่งที่ส่งมานี่ ให้เราเป็นมนุษย์อยู่นี่

ให้เรามีความศรัทธาความเชื่ออยู่นี่ แล้วเราจะแก้ไขมันอยู่นี่ แล้วเราจะไปปฏิเสธอะไร เราไม่ยอมจะเผชิญกับมัน แล้วเราจะเอาความจริงมาจากไหน จะเอาความรู้ความเห็นจริงมาจากไหน ต้องเผชิญกับมัน เผชิญความจริงเห็นไหม นี่อริยสัจความจริงเผชิญเข้าไปมันก็ต้องทำตามความเป็นจริง จริงมีสิ่งใดแก้ไขเราก็แก้ไขสิ นี่มาบอกว่าไม่ได้เลยๆ แล้วก็เชื่อกันไปนะ

เราเศร้าใจอย่างเดียวเศร้าใจที่ว่ามันทำไปสักแต่ว่าทำ มันเสียเวลากันไปเปล่าๆ มันเพราะอะไร เพราะมันก็เป็นปุถุชนกันอยู่อย่างนั้นน่ะ คือจิตมันไม่ให้ลงว่าอย่างนั้นเถอะ ถ้าลงไปมันจะเห็นการเปลี่ยนแปลง จิตที่ลงไป จิตที่มันดีขึ้น มันจะมีการเปลี่ยนแปลงและถ้ามีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ก็กลัวอีกกลัวการเปลี่ยนแปลงแล้วมาปฏิบัติทำไม

มึงปฏิบัติทำไม ถ้ากลัวการเปลี่ยนแปลงน่ะ กลัวจิตที่มันจะเผชิญสิ่งใด สิ่งใดมันเปลี่ยนแปลง มันต้องเปลี่ยนแปลงสิ จิตมันต้องลงถึงพื้นฐาน และพื้นฐานมันจะวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร มันถึงจะเป็นอริยสัจ มันถึงจะเป็นความจริง มันถึงจะมีแก้ไขขึ้นมา มันยากไหม ยาก

การรื้อภพรื้อชาติ เป็นเรื่องที่แสนยาก แสนยากเพราะอะไร เพราะเราไหลตามกระแส มีน้ำอันไหนบ้างที่ไหลขึ้นที่สูง มีน้ำที่ไหนบ้างที่ไหลขึ้นที่สูง ไม่มี จิตก็เหมือนกัน การเกิดและการตายมันเวียนมามันซับซ้อนมากับจิตมาระดับนั้น แล้วทวนกระแสนี่ ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ พยายามบังคับน้ำให้ขึ้นที่สูง แล้วเราพยายามบังคับให้ขึ้นที่สูงนี่ เหนื่อยไหม เหนื่อย

การปฏิบัตินี่ แสนทุกข์แสนยากแต่พอใจอยากทำ พอใจแล้วมีการกระทำ ถ้ามีความมั่นคงนะ ถ้าเราสร้างบุญกุศลของเรามา เรามีความมั่นใจและแก้ไขและสู้กับมัน สู้กับความเป็นจริงนี่ สู้กับมันให้ได้ ถ้าสู้ให้ได้มันจะเป็นความจริงขึ้นมานะ นี่การปฏิบัติ เศร้าใจมาก ทำโน้นก็ไม่ได้ทำนี่ก็ไม่ได้ แต่ครูบาอาจารย์ของเราบอกว่า เอ็งทำมา แล้วกูจะแก้ เอ็งทำมา ครูบาอาจารย์เราบอกว่าทำมาเลย วิธีการไหนก็ได้ เราก็ว่าวิธีการไหนก็ได้

แต่เมื่อก่อนที่โต้แย้งนะวิธีการอะไรก็ไม่ได้ต้องเอาอย่างเดียว ต้องใช้ปัญญาสายตรง ปัญญาสายตรงมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาสายตรงเราก็สอนอยู่ เราสอนเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาสายตรงนะ ครูบาอาจารย์ท่านก็สอนอยู่ แต่ท่านสอนอยู่ จิตมันจะเปลี่ยนแปลงมันจะวิวัฒนาการของมันไป แต่นี่มันบังคับน่ะ มันล็อก ล็อกให้อยู่อย่างนั้นไง แล้วคำว่าล็อกนะ

ดูสิน้ำนี่ ฝนตกขนาดไหน ถ้าน้ำมันมาลงสู่พื้นนี่ มันรวมตัวกันแล้ว น้ำมันก็ต้องล้นเป็นธรรมดาใช่ไหม นี่จะล็อกขนาดไหนล่ะจิตมันเป็นไปไง มันจะมีอาการของมัน โอ๋ย เป็นอย่างนั้นๆ ไม่เคยเห็นอะไรเลย ถ้าเห็นอะไรเขาไม่พูดกันอย่างนั้นหรอก เพราะคนมันปฏิบัติมันจะรู้

อย่างที่เราเดินทางนะเส้นทางที่เราเคยผ่านเรารู้หมดน่ะ แล้วคนที่มันผ่านเส้นทางมาเป็นอย่างไรมันจะเห็นของมัน ฉะนั้น ถ้ามันอย่างนั้นมันก็อยู่กันอย่างนั้นล่ะ มันเศร้าใจนะ พูดไปเหมือนกับว่ามันจริงๆ นะ ไม่อยากยุ่งกับใคร อันนี้ก็พูดไป ก็พูดเพื่อสังคม ให้สังคมได้ตื่นตัวเขาจะรู้ เขาจะเห็นของเขามันเป็นเรื่องธรรมดานะ มันเหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมานี่ เห็นเด็กๆ นะ เด็กๆ มันเล่นกัน

ทีนี้เด็กๆ มันไม่รู้เรื่องมันก็เล่นของมันไปเสียเวลาเปล่าๆ ปฏิบัติไปนี่ แล้วแต่เลยวิธีการไหนก็ได้ แต่ต้องมีสติ คำว่าสตินี่ สติเกิดจากใครก็เหมือนมีเจตนา มีการจงใจ สติเกิดจากจิต ถ้ามีสติปั๊บ มันจะย้อนสู่จิต เพราะการปฏิบัติมากน้อยขนาดไหน เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี่ เหงื่อไหลไคลย้อย ทุกข์อยู่ข้างนอกนี่ ผลของมันคือจิตสงบ เราไม่ได้เดินเอาเหงื่อออก ไม่ใช่คนโง่นี่ ทำให้ตัวเองลำบากอยู่อย่างนั้นนะ

ลำบากสิ ลำบากเพราะจิตมันฟุ้งออกไป จิตมันกระจายออกไป เราต้องตั้งสติไว้แล้วเดินจงกรมนี่ เตือนสติไว้ให้มันอยู่เฉพาะในผิวหนังเรา อยู่ในกายของเรา จากผิวหนังเราก็อยู่ในซอกเข้าไปถึงหัวใจ จากหัวใจเข้าไปถึงจิตเดิมแท้เห็นไหม จิตมันจะสงบเข้ามาได้ มันมีพลังงานส่งออกไปได้ มันก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ ที่สามารถดึงให้มันหยุดอยู่เข้าสู่ตัวมันเองได้ ในเมื่อมันส่งออกได้ มันส่งมาจากไหนล่ะ

ที่ส่งออกส่งออกมันส่งมาจากไหนมันเกิดจากอะไร และจะดึงบังคับให้มันไปอยู่ที่เดิมของมัน ทำไมจะทำไม่ได้ มันต้องทำได้สิ ถ้าทำได้ขึ้นมาแล้วนี่ พอมันเข้าไปแล้วนี่ โอ้โฮ จิตสงบเป็นอย่างนี้เองๆ ไม่ใช่ว่างๆๆๆ ว่างๆ นี้เป็นศัพท์ที่เขาบัญญัติไว้ ใครๆ ก็ใส่ไว้เลย กูก็พูดไว้ก่อนแล้ว ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย กูก็ว่างๆ แล้ว ว่างๆ ไม่มีเหตุมีผล เพราะไม่มีเหตุมีผลใช่ไหม จิตมันถึงยังไม่มีพลังงาน มันถึงไม่เป็นสัมมาสมาธิ

พอไม่เป็นสัมมาสมาธิก็บอกว่า พอปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ถ้าจิตสงบขึ้นมาเห็นนิมิตอีก ก็บอกว่าผิดอีก นี่เพราะพุทโธนี่แหละ สมถะจะเห็นนิมิตนี่ นิมิตก็ผิดอีก ขึ้นก็ผิด ล่องก็ผิดนะ คนไม่เป็น มันว่าผิดหมดน่ะ แต่ของเรานี่ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินี่ใช้ได้ คำว่าใช้ได้มันก็เป็นสมถะใช่ไหม แก้พื้นฐานใช่ไหม เพื่อปฏิบัติขึ้นไป

ฉะนั้นใครจะพูดอย่างไรก็เรื่องของเขา แต่ของเรานี่ ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเราตอกย้ำตอกย้ำขึ้นไปนี่ ตอกย้ำเราเข้าไป เราร้อนมา เราได้อาบน้ำอาบท่ามันก็ร่มเย็น จิตใจเราเร่าร้อนมานี่ เขาบอกว่าน้ำนี่อาบไม่ได้นะ มันไม่มีประโยชน์อะไรนะ ก็ช่างเขาพูดเถอะ กูอาบเถอะเว้ย กูว่ากูเคยอาบ นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติของเรา เราก็ทำของเราไป ใครจะพูดอย่างไรช่างเขา กระแสนะ คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด คนฉลาดคนหงิมๆ ทำท่าทำทางน่ะ โอ้ย คนโง่เป็นเหยื่อหมดเลยนะ นี่เป็นโลกนะ โลกนั้นเอาไว้ส่วนโลก เราปฏิบัติธรรมเราต้องทำของเรานะ

ถาม : พาคุณแม่ไปทำบุญแล้วหลับในขับรถชนเสาไฟฟ้าคุณแม่เสียชีวิตเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่

หลวงพ่อ : ไม่เป็นเด็ดขาด ไม่เป็น เป็นได้อย่างไร ในเมื่อเราพาแม่เราไปทำบุญ เราตั้งใจทำบุญแต่ขับรถนี่ หลับในมา แล้วชนเสาไฟฟ้าคุณแม่เสียชีวิต มันก็เป็นกรรมเป็นเวรของคุณแม่ เป็นของเราด้วย ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมคุณแม่ เพราะรถชนนี่ คุณแม่เสียไป แล้วเราก็เสียใจ เป็นกรรมไหม ใครบ้างจะต้องการ

โธ่ พ่อแม่เราแก่ชราเฒ่าเสีย เรายังเสียใจเลย ไอ้นี่มันเสียต่อหน้าเราเราก็ต้องฝังใจเป็นเรื่องธรรมดา นี่กรรมเห็นไหม เวลาการพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เป็นอนันตริยกรรม เริ่มตั้งแต่ต้น เดี๋ยวจะเปรียบเทียบเหมือนพระจอมเกล้าฯ เขาพูดกันบ่อยมาก ว่าพระจอมเกล้าฯ นี่ ทำให้เป็นสังฆเภท ทำให้สงฆ์แตกแยกเป็นสองฝ่าย

ไม่ใช่! สงฆ์สังฆเภทเป็นสองฝ่าย หมายถึงสังคมสงฆ์มันมีความสามัคคีรักใคร่กันมาก แล้วมีคนไปยุแหย่ให้แตกแยก ถึงทำสังฆเภท ทำสังฆเภทต้องพระอยู่ในวงนั้นและทำพระวงนั้นแตกเป็นสองฝ่าย แต่พระจอมเกล้าฯ ท่านบวชมาแล้วท่านบวชขึ้นมาเป็นพระแล้ว ท่านจะครองราชย์อยู่แล้ว แล้วมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระแล้ว

พอพระนั่งเกล้าฯ ท่านขึ้น แล้วท่านก็ต้องอยู่เป็นพระต่อไป คนจะเป็นกษัตริย์ใช่ไหม พอบวชแล้วไม่ได้เป็นกษัตริย์ บวชแล้วก็อยากจะให้ถึงที่สุด เพราะปรารถนานิพพาน แล้วพอปฏิบัติไป ไปศึกษาบาลีใช่ไหม บาลีก็บอกอย่างหนึ่ง ภาคปฏิบัติก็บอกอย่างหนึ่ง พระก็ทำตัวกันตามสบาย บาลีก็อย่างหนึ่ง ท่านก็พยายามค้นคว้าๆ แล้วทำตามบาลีนั้น มันสังฆเภทตรงไหน ใครทำสังฆเภท

ทำให้สงฆ์ดีขึ้นทำให้สงฆ์พัฒนาขึ้นมันสังฆเภทตรงไหน แต่ถ้าเขารักกันดีกัน ทำสังฆเภทมันไม่เข้าองค์ประกอบ เจตนาก็ไม่มี เจตนาเพื่อตัวเรา เพื่ออยากพ้นทุกข์ เพื่อเราเข้าถึงศาสนา เพื่อทำสังคมให้ดีขึ้น เจตนาไม่มี เวลาทำไปนี่ ถ้าเป็นกฎหมายทางโลก ไม่มีเจตนาทำไปนี่ผิดไหม ผิด แต่ผิดเพราะขาดเจตนา ไม่ลงโทษ นี่ก็เหมือนกัน เจตนานี่ พาแม่ไปทำบุญ

มันมีนะลูกศิษย์มีหลายคนมากเลย แปลก ไปทำบุญไม่ได้ เขามีโรงงาน ไปทำบุญกลับมาทีไร เครื่องเสียทุกทีเลย จนเขาปวดหัว ทำบุญทีไรกลับมาเครื่องเสียทุกทีเลย เราก็ว่าทำไปๆ ไอ้นี่มันเป็นเวรเป็นกรรมของแต่ละบุคคล อันนี้ไม่เป็นอนันตริยกรรม เนี่ย นี่พูดนะ เรายืนยันนะ เรายืนยัน แล้วถ้าพูดว่า อย่างนี้ไปถามใครนะ

ถ้าไปถามพระที่เป็น สิบแปดมงกุฎนะ โอ้โฮ ลาภลอยๆ เป็นอนันตริยกรรมแน่นอนเลย ต้องแก้ไขๆ มีเงินเท่าไรขนมาๆ จะเปิดกระเป๋ารับ ยิ่งใส่ให้มากเท่าไรจะพ้นจากอนันตริยกรรม ถ้าไปเจอสิบแปดมงกุฎนะลาภลอยๆ เหมือนตำรวจเลย รถชนนี่ลาภลอยได้ทั้งสองฝ่ายเลย ไม่มี ไม่เป็น แต่เราไปทำบุญ เราทำคุณงามความดีกัน

แต่ในเมื่อวาระมาถึง คนเราเกิดแล้วก็ตายทุกคน แต่หลายคนก็ไม่ต้องการให้ตายเร็ว ก็อยากให้อยู่กับเราไปก่อน ความตายใครไปห้ามได้ พระพุทธเจ้าจะไปนิพพานเดินไปนะจะไปนิพพาน พระอานนท์ร้องไห้คร่ำครวญตั้งแต่ออกเดิน ตั้งแต่ นิมนต์ให้อยู่ตลอดเวลา คืนสุดท้ายพระพุทธเจ้าทำกิจของท่านแล้วนะ

“ภิกษุทั้งหลายอานนท์อยู่ที่ไหน”

“ อานนท์ไปเกาะประตูร้องไห้อยู่พระพุทธเจ้าค่ะ”

“ไปตามอานนท์มาๆ ” “อานนท์ร้องไห้ทำไมๆ ”

“ร้องไห้เพราะกระผมยังเป็นพระโสดาบัน เกล้ากระผมก็อยากจะขอมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำผม แล้วพระพุทธเจ้าจะมานิพพานในคืนนี้ เกล้ากระผมจะพึ่งใครล่ะ เกล้ากระผมเสียอกเสียใจ เกล้ากระผมเสียใจมาก เกล้ากระผม ”

“อานนท์เราบอกกับเธอแล้วไม่ใช่หรือ เธอได้ทำคุณงามความดีไว้มหาศาล ผู้ใดที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า จะองค์ต่อไปก็ได้ไม่เท่าเธอ เธอเป็นเอตทัคคะในการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าด้วย ด้วยบุญกุศลอันนี้ อีก ๓ เดือนข้างหน้า จะมีการทำสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์”

เนี่ย ร้องไห้เสียใจๆ พระโสดาบัน ยังร้องไห้เสียใจ ทั้งที่ยังไม่ตายนะ อยากจะรั้งให้อยู่ เราจะบอกว่าความตาย ไม่มีใครรั้งได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเวรเป็นกรรมของของท่าน ทุกคนมันเป็นเวรกรรม เราอย่าโทษตัวเอง ตัวเองก็คือเสียใจ ทุกข์ใจเราก็ทุกข์ใจอยู่แล้ว อย่าโทษตัวเองมันเป็นเวรเป็นกรรมของคน จังหวะเห็นไหม กมฺมพนฺธุ กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นแดนเกิด กรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้น ในเมื่อเกิดขึ้นแล้วนะ

พระพุทธเจ้าสอนนะ อะทาสิ เม อะกาสิ เม เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ เวลาสวดศพนี่ เธออย่าร้องไห้ เธออย่าเสียใจ เธออย่าคร่ำครวญ แต่เดิมคนยังโง่อยู่ สมัยยังไม่มีศาสนา คนเราก็จะกราบต้นไม้ กราบภูเขา กราบไฟ กราบต่างๆ ในปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าเกิดแล้ว เธออย่าเสียใจอย่าร้องไห้อย่าคร่ำครวญ ให้ทำคุณงามความดี ส่งคุณงามความดีถึงกัน ส่งคุณงามความดีจิตถึงจิตไง

เนี่ย ดูพระเจ้าตากสิคิดถึงพ่อ พ่ออยู่กับเจ้า พ่อไม่เคยตาย คิดถึงพ่อ พ่ออยู่กับเจ้า เราคิดถึงแม่ แม่ก็อยู่กับเรา แม่ตายไปที่ไหน สรีระแม่ตายไป แต่คุณงามความดีเราเกิดจากแม่อยู่กับเราตลอดไป เสียใจอะไร นี่ไงพระพุทธเจ้าบอกว่า ให้ทำคุณงามความดีส่งถึงกัน ถ้าเป็นพ่อแม่เรานะพ่อแม่คนไหนก็อยากให้ลูกเป็นคนดีใช่ไหม

เราทำดีเห็นไหม นี่ทำดีเพื่อแม่ แม่หนูทำดีเพื่อแม่ แม่ก็อนุโมทนา โอ้โฮ ลูกเราดี แม่มีความสุขละ เราก็มีความสุขแม่ก็มีความสุขเห็นไหม นี่ไม่เป็น แหม เห็นอย่างนี้ตั้งแต่ทีแรกแล้วสะเทือนใจ เราสะเทือนใจจริงๆ เพราะว่าอะไร ดูนี่ ทัวร์บุญ อันตรายเวลาไปไหนเราบอกให้ตั้งสติ อย่าเผลอนะ ทัวร์บุญเห็นไหม ไปรถคว่ำกัน

กฐินนะหน้ากฐินน่ะ ไปรถคว่ำตายกัน ๑๐ คน ๒๐ คนโดยประจำกันเลยล่ะ เขาก็ไปทำบุญน่ะ ทำไมเขาเกิดอุบัติเหตุล่ะ แล้วพวกเราก็พูดว่า ไปทำบุญแล้วต้องได้บุญสิอย่าเกิดอุบัติเหตุ อุบัติเหตุนะในชีวิตเราชีวิตหนึ่ง มันก็มีขึ้นๆ ลงๆ มีหมอคนหนึ่ง ขับรถไปทำบุญกับหลวงตา ขากลับรถคว่ำ เพราะว่าการที่รถคว่ำนี่ เขาก็มาพูดกับเรา หลวงตาไม่คุ้มครอง ไม่ไปหาหลวงตาอีกเลย มาหาเรานะ

เราพยายามพูดให้เขาฟัง นี่หลวงตาคุ้มครองแล้ว ถ้าไม่คุ้มครองหนักกว่านี้อีก นี่คุ้มครองแล้ว พูดจนเขากลับไปอีกน่ะ เพราะไอ้สิ่งที่เกิดขึ้นน่ะ บุญหรือคุณงามความดีน่ะ เป็นที่พึ่งอาศัยของเรา แล้วพอเราน้อยเนื้อต่ำใจนี่ เราไปปฏิเสธสิ่งที่เป็นที่พึ่งอาศัยของเรา แล้วเราจะไปไหนกัน เราปฏิเสธสิ่งนั้นแล้วไปเอาสิ่งที่ตรงข้ามใช่ไหม หลวงตาพูดประจำเห็นไหม ไม่มีที่พึ่งนะ เราไม่มีที่พึ่งนะ ที่อื่นไม่มี

แต่นี่เราทำของเราแล้วนะ ยังเกิดอุบัติเหตุอย่างนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมา มันเป็นกรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมเก่าก็มี ที่ทำนี้คือกรรมใหม่ เราทำสิ่งกรรมใหม่ ของปัจจุบันเราทำสิ่งที่ดี แต่นี่มันของกรรมเก่ามาตัดรอน ทีนี้พวกเราพอกรรมเก่ามาตัดรอน มันก็หมดกำลังใจ ดูสิ เตมีย์ใบ้เห็นไหม ทศชาติน่ะ หาบพ่อหาบแม่ไว้บนไหล่เลยนะ พระโพธิสัตว์น่ะ

นี่ไงแล้วกลับมายังคอยตัดหูตัดจมูกเห็นไหม ทดสอบ นี่ถ้าเป็นเรานะ เจอชาติเดียว กูถอยแล้ว ชาติต่อไปไม่เอาแล้ว นี่ยัง ๑๐ ชาติ โดนถึงพระเวสสันดรเห็นไหม ขอหมดเลยเวลาขอหมดนี่ เราเน้นประจำเด็กๆ นี่ไม่เข้าใจนะ มาบอกเลยนะว่า แหม มาขอลูกขอเมียให้เขาได้อย่างไร ทำไมไม่เอาตัวเองไปล่ะ นี่เห็นแก่ตัว เด็กมันว่านะ แล้วไม่คิดมุมกลับเหรอ

เวลาแฟนเรานี่ เรารักแสนรักเขามาขอแฟนเราได้ไหม อย่าเอาแฟนไปเอาฉันไปดีกว่า ห้ามไม่ให้เอาแฟนไปเอาเราไปแทน เขาไม่ขอเอ็ง เขาขอแฟนเอ็ง เพราะว่าเขาขอแฟนเพื่อให้มันสะเทือนหัวใจไงโพธิญาณมันอยู่ที่ใจ ไอ้แฟนอยู่ข้างนอก โพธิญาณมันอยู่ที่นี่ เขาทำอะไรก็ได้ที่มันตระหนี่ถี่เหนียว ที่มันไม่ยอมให้

พอไม่ยอมให้มันจะสร้างพุทธภูมิ สร้างโพธิญาณขึ้นมาไม่ได้ ต้องเสียสละมาขนาดนั้นนะพระพุทธเจ้าน่ะ สิ่งนี้สิ แต่เราไปมองกัน มองแต่วัตถุไง มองแต่แฟนข้าแฟนข้า เวลาแฟนจะไปลำบาก ก็ไปลำบากแทนสิ โธ่ พระเวสสันดรนะไปเรียนมาจะเป็นกษัตริย์ กษัตริย์นี้เป็นนักรบ ชูชกเป็นขอทาน ขอทานมาขอลูกไปแล้วตีลูกต่อหน้า ใครทนไหว ชักดาบตายหมดนะ

แต่เพราะบุญญาบารมีทนเจ็บช้ำน้ำใจนะ เจ็บปวดมหาศาลเลยใครไม่เจ็บ นี่พูดถึงวัฏฏะเห็นไหม วัฏฏะเวลามันเจ็บช้ำน่ะ นี่ก็เหมือนกันวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ พระพุทธเจ้าจึงสอนไง นี่ผลของวัฏฏะ เราเกิดในวัฏฏะนี่ร้องไห้คร่ำครวญ สิ่งที่เวลาทุกข์ใจเสียใจสิ่งที่น้ำตาเก็บไว้แต่ละบุคคล น้ำทะเลสู้ไม่ได้แล้วจะเกิดอีกไหม เราต้องหาทางออกเราต้องสู้ สู้กับสัจจะความจริง สู้กับใจเรา แล้วเราจะดีขึ้นพัฒนาขึ้น จะว่าสิ้นจากทุกข์เลยน่ะเป้าหมายมันคือตรงนั้น แต่เราทำได้ไม่ได้มันเรื่องของเรา

อันนี้เพราะคนคิดอย่างนี้กันหมดนะ ทำดีแล้วไม่ได้ดี เนี่ย ไปทำบุญกุศลด้วยทำไมเกิดอุบัติเหตุ แล้วอุบัติเหตุที่มันเกิดทั้งวันทั้งคืน โอ้โฮ เครื่องบินตกทำไมไม่เป็นอุบัติเหตุ มันก็มีเกิดของมันทุกวันน่ะ แต่เครื่องบินตกมันยิ่งน่าคิดนะ คนมาจากทั่วโลกเลย มานั่งเครื่องบินลำเดียวกัน แล้วมาตก ตุ๊บ! พร้อมกันเลย มันทำกรรมอะไรร่วมกันมามันทำอะไรมา มาจากทั่วโลกเลย

บางคนจองบุ๊กตั๋วไว้แล้วนะ ไม่ได้ขึ้น อย่างไรก็ไม่ได้ขึ้น ไอ้นั้นไป ตุ๊บ! อยู่ข้างหน้าไม่ได้ขึ้น โอ้ รอดมาได้ เราเชื่อเรื่องกรรมมาก พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ เรื่องกรรม กรรมเป็นอจินไตย อจินไตยมี ๔ พุทธวิสัย โลก ฌาน ฌานคือสมาธินี่ ไอ้ว่างๆ นี่ อจินไตยนะ ใครว่างๆ ขนาดนี้ อจินไตยเลย แล้วก็กรรม

ทีนี้จะบอกว่า ชาติที่แล้วทำอะไร ถึงมาเกิดชาตินี้ ไอ้ชาติที่แล้วนะทำดีมหาศาลเลย แต่ชาตินี้เกิดทุกข์ฉิบหายเลย มันเพราะอะไร ชาติที่แล้ว เราทำดีมากเลย แต่ชาติต่อๆ ไปโน้น เราทำเลวไว้เยอะ ไอ้ทำดีตรงนั้นมันยังไม่ให้ผลน่ะ ในธรรมบทเห็นไหม มีแม่ชีที่รู้วาระจิตเป็นภิกษุณี รู้วาระจิต แล้วก็ไปปฏิบัติกัน แล้วผู้ชาย พระก็ไปปฏิบัตินะ ไปถึงปั๊บเขารู้วาระจิต อายเขากลับมา

พระพุทธเจ้าก็บังคับให้ไปอีก พอเขารู้วาระจิตนะ เขาก็ส่งตลอด โอ้โฮ ยิ่งภาวนา ก็อายผู้หญิง อายภิกษุณีไง จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พอสำเร็จเป็นพระอรหันต์ปั๊บนี่ แล้วเห็นคุณเขาน่ะ เขาส่งเสริมจนเป็นพระอรหันต์ได้น่ะ กำหนดจิตย้อนอดีตชาติดูเลย ชาติที่ ๑ ก็โดนผู้หญิงคนนี้ฆ่า ชาติที่ ๒ ก็โดนผู้หญิงคนนี้ฆ่า ชาติที่ ๓ ก็โดนผู้หญิงคนนี้ฆ่า โฮ เสียใจมากนะก็ดูไปถึง ๙๙ ชาติโดนผู้หญิงคนนี้ฆ่ามาตลอดเลย เสียใจ

เอ๊ะทำไมเขามีคุณ ทำไมเขาทำกับเราขนาดนี้ ภิกษุณีเขารู้วาระจิตไง เขากำหนดมาเลย บอกว่าขอให้ดูอีกชาติต่อไป ชาติที่ ๑๐๐ พระองค์นี้ฆ่าภิกษุณี พระองค์นี้ฆ่ามาก่อน แล้วภิกษุณีก็มาเอาคืน ๙๙ ชาติแล้วก็มาเกิดเป็นชาติสุดท้ายในธรรมบท สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ นี่ไง ๙๙ ชาติ ย้อนไปชาติที่ ๑๐๐ ตัวเองฆ่าเขา แต่ ๙๙ ชาติ ถูกฆ่า

ในพระไตรปิฎกเปิดดูได้ นี่พระพุทธเจ้าพูดว่านี่กรรม ที่ว่าชาติที่แล้วทำอะไรมาถึงได้ทุกข์เข็ญขนาดนี้ โอ้ย กรรมเราสร้างกันมานี่ มากมายมหาศาล จิตดวงนี้ นาย ก ตายไปเกิดเป็นนาย ข แล้วพอเกิดไปแล้วไปทุกข์ไปยากน่ะ โทษนะแล้วนาย ก มาเกี่ยวอะไรกับกูน่ะ กูมาเกิดเป็นนาย ข แล้วกูต้องทุกข์ต้องยากน่ะ อ้าว นาย ก สร้างไม่ใช่นาย ข สร้างแล้วผลกรรมทำไมมาตกที่นาย ข นี่ล่ะ อ้าว ก็นาย ก เป็นคนสร้างจิตของนาย ก ตายไปจิตของนาย ก ไปเกิดใหม่ ได้ชื่อว่านาย ข นาย ก ก็คือนาย ข นั้นแหละ

จิตดวงเดียวกันแต่วาระมันคนละวาระมันต่อไปอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุดนะ บุพเพนุวาสานุสติญาณ วิชชา ๓ ของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนอดีตชาติได้หมดเลย อันนี้หมายถึงว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมน่ะ เราจะบอกเลยนะว่าเป็นเวรเป็นกรรมของพ่อแม่เราด้วย แล้วก็เป็นเวรเป็นกรรมของเราด้วย เราถึงต้องมาประสบอุบัติเหตุในขณะเดียวกัน

แต่ในสิ่งอย่างนี้แล้วมันพ้นไปแล้ว มันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ คือผลของกรรมที่ทำกันมา แล้วเสร็จแล้วนี่ เราตัดใจจากสิ่งที่มันเสียใจ แล้วอย่างที่ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ทำความดีถึงกันนี่แหละ แม่เราก็คือแม่เรา แล้วพูดถึงพ่อแม่เรา แล้วลูกเราล่ะ แล้วมันเวียนตายเวียนเกิดนี่ ผลัดเป็นพ่อเป็นแม่กันมาล่ะ ปัจจุบันนี่ เล่นบทพ่อแม่นะแล้วบทที่แล้วๆ มาใครเล่นบทไหน

โลกนี้คือละคร อันนี้พูดดีมากๆ เลยนะ ที่ว่า ๑. เราก็สะเทือนใจ ใครไม่สะเทือนใจ พ่อแม่เสียใครไม่สะเทือนใจ แล้วก็ไปทำดีด้วย เราก็สะเทือนใจ เขาเรียกว่าธรรมสังเวชไง มันเป็นธรรมแล้วสะเทือนถึงความปลงธรรมสังเวช แต่สังเวชแล้วต้องมีสติ อย่าให้มันเกาะหัวใจเรา

อย่าให้มันทำให้เราเศร้าอยู่อย่างนั้นตลอดไป เอามาเป็นคุณงามความดีไง แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ว่านี่ เพราะเราเห็นเยอะ ลูกศิษย์ โยมที่มาหาเรานี่ สามี ภรรยาใครคนหนึ่งเสียไป แล้วไปหาพระนี่ พระปอกลอกจนหมดตัวเลย เยอะมาหาเรานี่เยอะ เราเห็นมาเยอะ แล้วจะบอกว่านี่ แหม ถ้ามาเจอพระอย่างนั้นน่ะ ลาภลอยๆ ลาภมาละ

ถาม : ไม่ชอบสวดมนต์มีวิธีแก้อย่างไรคะ

หลวงพ่อ : ไม่ชอบสวดมนต์ก็สวดก็จบ ไม่ชอบสวดมนต์ก็ต้องสวด มันก็หาย อะไรไม่ฝึกมันไม่มีหรอก เราไม่ชอบสิ่งใดถ้าสิ่งใดดีนะเหมือนตักบาตรนี่ อาม่าเราเอง เราบวชใหม่ๆ อาม่าแก่ปั๊บ เขาก็ไม่ให้ทำงาน อยู่ที่บ้าน เรามาถึงเห็นว่า อาม่าไม่ทำอะไรก็บอกอาม่าให้ตักบาตรสิ อาม่าว่าอย่างไรรู้ไหม ไม่กล้าตักอายเขา เราก็บอกว่า “ม่า ม่าเป็นคนให้นี่ ม่าอายใคร คนมารับต้องอายอาม่านะ อาม่าต้องใส่บาตรนะ” อายไม่กล้า อย่างไรก็ไม่กล้า

สุดท้ายแล้วเราอยู่อีสานปีหนึ่งเราจะกับมาหนหนึ่ง เราก็พยายามบอกให้พ่อให้แม่กับพี่สาวช่วยกัน บอกว่าเราพูด เรามาพูดอยู่นาน พอกลับอีสาน ปีหนึ่งกลับมาหนหนึ่ง เมื่อก่อน พอกลับมาอาม่าใส่บาตร แล้วใส่บาตรแม่เล่าให้ฟัง อาม่าใส่บาตรนะทุกเช้าเลยและบางทีบางวันอาม่าไม่สบายใช่ไหม คนอื่นก็ใส่แทน พอใส่แทนเช้าขึ้นมาอาม่าก็มาใส่บาตร พระก็ถามสองวันนี้ไปไหนมา ป่วยไง โฮ อาม่าดีใจ ดีใจใหญ่เลย มีคนคิดถึง

เหมือนกัน สวดมนต์นี่ก็เหมือนกัน เพราะเวลาเราสวดไปแล้วก็เหมือนกับเราใส่บาตร การทำบุญสวดมนต์กัน ทำทุกวันๆ ไม่ได้ทำแล้วมันเหมือนกับไม่ได้ทำอะไรนะ แต่การทำทีแรกนี่ เราไม่เข้าใจว่าเราทำแล้วได้อะไร สวดมนต์นี่นะเหมือนพุทโธ พุทโธ เวลาเราพุทโธๆๆ สวดมนต์นี่แทนคำบริกรรมได้ อาจารย์สิงห์ทอง สวดมนต์ทีไร จิตลงสงบทุกทีเลย

อาจารย์สิงห์ทองเป็นคนดื้อ แล้วแบบว่า เวลาจะบวชนี่ ญาติพี่น้องบอกบวชไม่ได้หรอก คนดื้อ คนดื้อเขาบอกบวชไม่ได้ พอบวชขึ้นมา สวดมนต์จิตสงบทุกที อ๋อบวชมันดีอย่างนี้เนอะ อย่างนั้นบวชตลอดชีวิตเลย ตั้งสัจจะเลยบวชตลอดชีวิต เท่านั้นน่ะสวดมนต์เท่าไรก็ไม่ลง กลายเป็นจิตภาวนายากเลย ดูกิเลสมันหลอกสิ สวดมนต์นี่นะจิตนี้สงบเลยนะ นี่ท่านเล่าเอง อาจารย์สิงห์ทองนี่

แต่พอบอกว่า เออ ถ้าภาวนาง่ายๆ อย่างนี้ก็ดีนะ บอกบวชตลอดชีวิตเลย พอตั้งสัจจะว่าจะบวชตลอดชีวิตไม่สึก พอว่าไม่สึกเท่านั้นน่ะไอ้ที่ว่าง่ายๆ นะ ยากทันทีเลย ตอนนี้สวดมนต์อย่างไรก็ไม่ลง พุทโธอย่างไรก็ไม่ลง นี่ก็เหมือนกัน เราสวดมนต์ แทนพุทโธ แล้วพอสวดมนต์นะ เราจะบอกว่ามีคุณ มีประโยชน์มาก

การสวดมนต์คือการสรรเสริญพุทธคุณ การสวดมนต์นี่ เพราะว่าบทสวดมนต์คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ธรรมจักรฯพระพุทธเจ้าเทศน์กัณฑ์แรกเลย เราสวดธรรมจักรฯ กัน ทำไมหลวงตาเวลาทำบุญ เขาบอกให้สาธุดังๆ ล่ะ เทวดา อินทร์ พรหม เขาก็เคารพเหมือนกัน พอเราสวดน่ะเราพูดภาษาเดียวกัน เหมือนเราท่องบ่นให้เขาได้ชื่นใจ

เราจะบอกว่าสวดมนต์น่ะในบ้านจะร่มเย็นเป็นสุข ในหมู่บ้านนะถ้าพูดถึงเราทุกข์เรายากนะ สิ่งนั้นจะมาช่วยดูแลเรา อันนี้มันจะเป็นประโยชน์ ใครเห็นประโยชน์แล้ว จะเสียเวลาหรือ เสียเวลาแล้วเวลาทำอย่างอื่นทำไมไม่เสียเวลาล่ะ เวลาทำอย่างอื่นมันก็เสียเวลาเหมือนกัน การเสียเวลาเยอะแยะไปหมด แต่เวลาทำความดีบอกเสียเวลา สวดมนต์ ตั้งใจ ทำงานน่ะใครๆ ก็ไม่อยากทำทั้งนั้นล่ะ ไม่มีใครอยากทำหรอกแต่เราตั้งใจทำของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์ของเราเพื่อคุณงามความดีของเรา ต้องทำ ทำแล้วจะดี

ถาม : สัญญา สังขาร เวทนา นี้เป็นนามธรรม ทำงานมาครั้นต่างเวลา ต่างหน้าที่แต่บางครั้งก็ทำงานพร้อมกัน ซ้อนๆ กัน หลายมิติ จนจับได้ไม่ชัดเจนทำอย่างไรจะชัดเจนขึ้น และก้าวหน้าขึ้น ๒. กามารมณ์เกิดขึ้นแท้จริงแล้ว มิติที่ลึกๆ ปรุงแต่งจากจิตหรือเปล่า ทำอะไรต่อไปจึงจะก้าวหน้า

หลวงพ่อ : ถ้าเป็นปัญหามาอย่างนี้ เวลาเราตอบเราจะตอบเป็น ๒ ประเด็น สัญญา สังขาร เวทนาเป็นนามธรรมทำงานมาบางครั้งต่างเวลา ต่างหน้าที่ ทำงานบางครั้งทำพร้อมๆ กัน ซ้อนๆ กัน ถ้าเป็นปริยัติเป็นการศึกษามา เราศึกษามานี่ มันเป็นความรู้สึกแต่ถ้ามันจะจับอย่างนี้ได้ เวลาภาวนามันจะรู้นะ อย่างเรานี่ เราเรียนหนังสือมา เราจะรู้เลยว่าเด็กนี่ มันเรียนอนุบาล ไอ้ตำราเรียนอนุบาล ทางวิชาการมันแค่ไหน ประถมแค่ไหน อุดมศึกษาแค่ไหน

จบด๊อกเตอร์นี่ เราต้องทำวิทยานิพนธ์นี่ เราต้องทำแค่ไหน อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อขันธ์ ๕ ถ้ามันจับได้ มันเห็นได้ ถ้าจับได้เห็นได้นี่ เพราะอะไร เพราะมันต้องทำจิตสงบพอสมควร จิตที่สงบแล้ว จิตจนเห็นอาการของจิต ขันธ์นี่คืออาการของจิต สัญญา เวทนาต่างๆ นี่เป็นอาการของมัน ถ้าเราจับได้เห็นไหม บางครั้งมันเกิด ถ้าจิตมันดี มันจะจับได้ชัดเจน ว่าเป็นแต่ละชิ้นๆ

ถ้าทำงานซ้อนๆ กันนี่ แสดงว่าสมาธิอ่อนแล้ว สมาธิเรานี่มันไม่มั่นคง ถ้าสมาธิเราไม่มั่นคงเหมือนกับคนเรานี่ไม่มีกำลังแบกของหนักไม่ได้ ถ้าคนเรามีกำลังจะแบกของหนักได้มันจะเห็นชัดเจนมาก ทีนี้ถ้ามันเป็นความจริงนะ ถ้าอย่างนี้ปั๊บ มันต้องซักกันตัวต่อตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นสิ่งที่เป็นสัญญาหรือสิ่งที่เราสร้างขึ้น นี่มันเป็นได้ ๒ อย่าง เพราะเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ เมื่อก่อนยังไม่มีการปฏิบัติเลยนี่ อย่างนี้จะเป็นความจริง เพราะอะไร เพราะมันไม่มีตัวอย่าง ไม่มีสิ่งใด มันก็ไม่มีสิ่งใดก๊อบปี้

แต่เดี๋ยวนี้เพราะธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมของครูบาอาจารย์เรานี่ โอ้โฮ กระจายไปทั่วเลย เราก็ฟังสิ โอ้ย อย่างนี้เป็นสัญญา มันก็สร้างสิ สัญญากูก็จับได้ สังขารกูก็จับได้ เวทนากูก็จับได้ จับได้จริงหรือเปล่า เพราะถ้าจับได้จริง นี่โสดาปัตติมรรคนะ แล้วถ้ามันเกิดขึ้นมันซ้อนกันชัดเจนทำให้มันชัดขึ้นไป ถ้ามันชัดถ้ามันจับได้

ถ้าพูดถึงการปฏิบัติ แล้วเราทำความสงบ แล้วมันจับได้นี่ เราเห็นด้วย แต่ตอนนี้ โอ้โฮ ในเว็บไซต์กำลังอ่านอยู่นี่ กำลังปวดหัวอยู่นี่ เพราะเราไปดูในเว็บไซต์ เขาเอามาให้ดู เขาพริ้นมาให้ดู เด็กมันคุยกันนี่ ธรรมะ จั๊ดๆๆๆ แล้วมันยังเถียงกันเป็นอนุบาลอยู่เลย มันบอกว่ามันปฏิบัติธรรมกัน กูดูแล้ว เอ้อ ธรรมะเรา ธรรมของเรานี่ เป็นธรรมของโลกไปหมดแล้ว

โลกเอาเรื่องอย่างนี้มาคุยกัน มันเลยไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงนะ ความก้าวหน้าขึ้นๆ ถ้ามันจะชัดเจนขึ้นนะ ถอยกลับมา ถ้าเรากำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ กลับมาที่สมาธิก่อน กลับมาที่สมาธิ ให้สมาธิมันเข้มแข็งขึ้น สมาธิมันดีขึ้น ถ้าสมาธิมันดีขึ้นมันกลับไปใช้จะชัดเจนมากเลย ชัดเจนแล้วแยกมัน ใช้ใคร่ครวญมัน แยกใคร่ครวญมันต่อไป

ถาม : กามารมณ์เกิดขึ้นเร็วเกิดขึ้นแท้จริงแล้ว มิติที่ลึกๆ ปรุงเข้ามาทางจิตหรือเปล่า

หลวงพ่อ : ทุกอย่างเกิดจากจิต โลกนี้มีเพราะมีเรา เราตายไปแล้วโลกก็อยู่อย่างนั้นนะ ทุกอย่างเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น เกิดจากความมั่นหมายของจิตทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้นดูสิ พ่อแม่หรือคนที่เขาอุปการะเรานี่ เขาเอาความดีปรารถนาดีมาให้เราทั้งนั้นแหละ แต่มันเข้าใจผิดเห็นไหม แม่ก็ไม่รัก แม่ก็รังแกเรา คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี เกิดจากใคร ทั้งๆ ที่เขาทำความดีกับเราทั้งนั้นล่ะ

แต่ไอ้ความเข้าใจผิดของเราหาว่าเขาไม่ดีกับเราหมดเลย เกิดจากจิตที่ว่าเกิดจากจิตใช่ไหม ใช่ เกิดจากจิตทั้งหมด เกิดจากอวิชชา เกิดจากความไม่รู้จริงของเราทั้งนั้นเลย เกิดจากเราทั้งนั้น เราจะแก้ไขอย่างไร การแก้ไขของเราก็ตั้งสติเข้าไปสู้กับมัน ตั้งสติเข้าไปควบคุมมัน ควบคุมมันก่อน ควบคุมได้ถึงจะแก้ไขได้ ควบคุมไม่ได้แก้ไขไม่ได้

อย่างเช่น เครื่องยนต์ติดอยู่นี่ เราจะซ่อมเครื่องยนต์ได้ไหม ถ้าเครื่องยนต์เราไม่ดับเครื่อง เราจะเปิดฝาเครื่อง เราจะเปิดเครื่องออกมาซ่อมได้อย่างไร จิตที่มันยังหมุนของมันอยู่เห็นไหม ที่เราบอกว่าเกียร์ไม่ว่างนะ เกียร์ไม่ว่างรถจอดมันเกียร์ว่างโดยธรรมชาติของมัน แล้วถ้าไม่เกียร์ว่างมันจอดไม่ได้ ยกเว้นแต่ดับในเกียร์ รถเข้าเกียร์อยู่นี่ เราติดเครื่องไม่ได้ ติดเครื่อง เครื่องมันจะออกตัวทันที

ความคิดกับจิต มันเกิดมาด้วยกันสัญชาตญาณเกิดมนุษย์นี่มันเกี่ยวมาตลอด ไม่เคยปล่อยเลย ไม่เคยปล่อย หลับมันก็ดับคาเกียร์ไปอย่างนั้นน่ะ ตื่นขึ้นมาคิดอีกแล้ว นี่ไง ถ้ามันปล่อยวางได้ มันทำสมาธิได้มันปล่อยวางได้ การปล่อยวางได้แล้วนี่ มันถึงเป็นสมาธิมันถึงมีกำลังของมัน แล้วต้องเข้าเกียร์ เข้าเกียร์กันหมายถึงว่า เขาเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เห็นขันธ์ ๕ นี่แหละ เห็นขันธ์ ๕ ขึ้นมานี่ จิตมันจะเป็นของมัน

ถ้ามันทำเป็นนะ คำถามนี่มันบอกถึงจิตที่มันใช้ปัญญาเป็น แต่ มันไม่มั่นใจเพราะว่าเดี๋ยวนี้ กระแสอย่างนี้มันมาแรงไง เพราะคำพูดอย่างนี้ มันพูดกันเยอะ เขาว่าก็ต้องทำยังไงให้ดีขึ้น อยากให้ดีขึ้นความก้าวหน้าขึ้นมันอยู่ที่ความฝึกซ้อม นักกีฬาทักษะเขาดี เขาเล่นกีฬาดีอยู่ที่หมั่นฝึกซ้อม

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันจะก้าวหน้านะมันต้องออกพิจารณาบ่อยครั้งเข้า แล้วถ้ากำลังไม่พอ กลับมาที่สมาธิ สมาธิเป็นพื้นฐานเขาจะบอกเลยว่า เขาเป็นสมาธิอยู่แล้ว เรื่องของเขาสมาธิอยู่แล้ว มันก็เป็นสัญญาทั้งหมดล่ะ มันแบบว่าเครื่องมันติดในเกียร์ เหมือนความคิดมันลากจิตอยู่ อย่างไรมันก็ลากของมันไป มันก็สร้างภาพของมันไป จะคิดอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นมันถึงไม่เป็นความจริง

ถาม : ๑. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว สามารถแนะนำสั่งสอนธรรมแก่ปุถุชนหรือพระเสขบุคคลได้หรือไม่ ที่เสด็จมา อนุโมทนาหลวงปู่มั่น

หลวงพ่อ : ได้! ได้ทั้งนั้น คำว่าปุถุชนนี่ สังเกตได้ไหมเวลาคนที่มาหาเรานี่ เวลาทำสมาธินี่ พอจิตสงบไปเห็นพระพุทธรูปนี่ พระพุทธรูปเป็นตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาจิตสงบขึ้นมาเห็นพระพุทธรูปเลย พระพุทธรูปใสขึ้นมานี่ นี่ตัวแทนคำว่าตัวแทน แต่ถ้าพระพุทธเจ้ามาสอนนี่ คำว่ามาสอน มันเกิดนิมิตจากเราเกิดจากความเห็นหนึ่งของเราได้ แต่พระพุทธเจ้าปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์อยู่แล้ว

ฉะนั้นคำว่ามาสอนได้ เราต้องมีเครื่องรับไง อย่างโทรศัพท์นี่ เราโทรอยู่คนเดียวน่ะ แล้วโทรไปเครื่องใครล่ะ แม่งไม่มีใครรับเลย แล้วโทรไปหาใคร นี่ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าพร้อมที่จะสอนตลอดเวลาเลย แต่โทรศัพท์เครื่องมันไม่ดีนะ เครื่องมันไม่จัดการเปิดเครื่องมันนะ ถ้าเราเปิดเครื่องขึ้นมา แล้วเราทำใจเราดี เราปฏิบัติของเราดี เราทำคุณประโยชน์ของเราดีเห็นไหม ถ้าโทรศัพท์มันตรงกัน มันก็สอนได้จริงๆ สอนได้ แต่พวกเราไปคิดกันเอง ไปคิดว่าไม่ได้

พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว แต่นิพพานไม่มีเหรอ นิพพานมีเปล่า ถ้านี่นิพพานไม่มีแล้วเราปฏิบัติหาใคร จิตเป็นนิพพาน แล้วจิตมีไหม พระพุทธเจ้ามีไหม พระอรหันต์มีอยู่ไหม พระอรหันต์มี ถ้าพระอรหันต์ไม่มีนะ ก็ไม่มีเราไม่มีผู้ปฏิบัติ ไม่มีหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นปฏิบัติไปแล้วพอสิ้นกิเลสไปแล้ว ก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่มีพระอรหันต์ หลวงปู่มั่นก็ต้องไม่มี พระอรหันต์ไปจากหลวงปู่มั่น

นี่ก็เหมือนกัน จิตปุถุชนเรานี่ เรามีจิตไหม เรามีกิเลสไหม มี พอเราทำให้กิเลสเราสิ้นไปแล้วนี่ จิตที่มันเข้าถึงนิพพานมีไหม มี แต่มีแบบนิพพานไง มาสอนได้แน่นอนแต่โทรศัพท์เราไม่เปิดนะถ่านหมดด้วย เราต้องชาร์ตถ่านเราดีๆ แล้วเราเปิดโทรศัพท์ด้วย พระพุทธเจ้าโทรอยู่ตลอดเวลา โทรไม่ติดน่ะ พวกเราปิดโทรศัพท์ไม่ค่อยรับเอง แล้วบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่มาสอน

คนปรารถนาดี คนหวังดี คนใฝ่ดี แล้วคนทำคุณงามความดีเขาพอใจไหม พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า แล้วเราเป็นใคร เราปรารถนาดี เราอยากทำความดี แล้วเราไม่มีทางออก ไม่มีทางออกนะ นั่งสมาธินี่ หัวปักหัวปำเลยล่ะ มืดตื้อทำอะไรไม่ได้เลย มีหลวงปู่มั่นนะ ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง

เวลาพระมานี่ เช่น หลวงปู่ขาวนี่ ให้ดูใจ ดูใจนี่ พอไปถึง ท่านก็ว่าใจตัวเองไม่ดู ใจเจ้าของไม่ดู จะให้ใครดูให้ ใจตัวเองทำไมไม่ดู มีครูบาอาจารย์บางคนไง บอกเลยถ้าหลวงปู่มั่นรู้จริงหลวงปู่มั่นก็ต้องมาช่วยสิ มันตกทุกข์ได้ยาก หลวงปู่มั่นไม่มาหรอก มันจะเอาหลวงปู่มั่นไปใช้ หลวงปู่มั่นไม่มาหรอก แล้วบอกหลวงปู่มั่นไม่รู้วาระจิต รู้วาระจิตไม่รู้วาระจิตนี่ มันอยู่ที่ใครคิด อยู่ที่ใครสัมผัสกับหลวงปู่มั่น สัมผัสหลวงปู่มั่นในแง่ไหน ในแง่เคารพบูชานี่ ทันทีเลย ในแง่ที่ต่อรองในแง่อื่นไม่มี

พระพุทธเจ้านะ พระนี่ไปบวชกับพระพุทธเจ้า แล้วบอกเลยว่า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่บอกว่านรก สวรรค์มีจริงหรือเปล่า จะสึก พระพุทธเจ้าบอกสึกไปเลย เราเคยบอกไหมว่าบวชมาแล้วเพื่อจะให้รู้เรื่องนรกสวรรค์ แต่พระนันทะเห็นไหม พระนันทะเป็นน้องชาย พอแต่งงานเสร็จก็มาเลย พอมาพระพุทธเจ้าก็บอกว่า นันทะจะบวชหรือ พี่ชายพูดก็พูดไม่ออก อ้าว บวชก็บวช

พอบวชเสร็จก็คิดถึงเจ้าสาวเพิ่งแต่งน่ะ โฮ คิดถึงเจ้าสาวตลอดเวลาเลย โอ้ย เป็นทุกข์เป็นร้อนนะพระพุทธเจ้ามาเลยนะ นันทะเธอมองนะสวยไหม สวย นันทะเราจะพาไปดู จับมือเลยเหาะ ขึ้นไปบนสวรรค์นะไปเจอนางฟ้าสวยไหม สวย อยากได้ไหม อยากได้ อยากได้พุทโธสิ พุทโธๆๆ จนเป็นพระอรหันต์เลย

แล้วเวลาพระที่มาถาม ถ้าไม่บอกนรก สวรรค์ว่ามีนะ จะสึก อ้าวจะสึกก็สึกไป คือจิตใจมันต่อรองจิตใจมันหยาบมากพูดอะไรไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่เข้าหลักเกณฑ์อะไรเลย แต่พระนันทะมีอำนาจวาสนา ดูสิ พระพุทธเจ้านะ พุทธกิจ ๕ จะสั่งสอนใครนี่ เล็งญาณเลย จิตใครควรแก่การงาน จิตใจควรจะเป็นพระอรหันต์ แต่เขามีอายุสั้นหรือเขาจะมีเหตุเภทภัยของเขา ถ้ามีเหตุเภทภัยของเขาเขาจะตายก่อนไปเอาคนนั้นก่อน โอ้ย พุทธกิจ ๕ ของพระพุทธเจ้านี่ งานล้นมือนะ

ฉะนั้นเราทำคุณงามความดีนี่ แต่ ความดีของเรา มันความดีของใคร เราไปคิดไปคาดไปหมายไปหวังน่ะ แต่เราทำของเราไป มี ครูบาอาจารย์เยอะมาก หลวงปู่มั่นอาจารย์มาสอน มาสอนหมายถึงว่า เวลาเราโลเลอยู่ เรามีความสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรามีความเอียงว่าจะไปทางไหนน่ะ มาเลยทางนี้ๆๆๆๆ แล้วเอ็งเชื่อไม่เชื่อล่ะ

ทางนี้ๆๆๆ แล้วยังไม่เชื่อนะ โอ้โฮ ต้องก้นขวิดไปก่อนนะ พอไป ผลัวะ โอ้โฮ แหม เชื่อทีแรกก็ดี เหนื่อยเกือบตาย โอ้ยกิเลสคนนี่ร้ายกาจๆ ภาวนาไปเรื่องอย่างนี้จะมี ในวงกรรมฐานเรื่องนี้คุยกันสนุกมาก พระกับพระ ถ้าพระภาวนามานะ ใครมีประสบการณ์อย่างไร ใครเห็นอย่างไรมา ก็จะมาคุยเล่าให้ฟังกัน

อันนี้บอก มีแน่นอน เพียงแต่ว่า พอบอกมีแล้วนี่ เราจะรอให้ท่านมาสอน เหมือนเด็กเลยน่ะ ต่อล้อต่อเถียง ขออยู่ตลอดเวลาเนี่ย รอไปเหอะ ไม่มาหรอก แต่ถ้าเราทำดีของเรา ทำดีเพื่อดี ถึงเวลาปั๊บ เป็นอย่างนั้นเลย

ถาม : ๒. ในธรรมบทพระเถระที่ได้บรรลุพระอรหันต์มักอุทานว่า ในแสนกัปล่วงมาแล้วเคยถวายดอกไม้ เป็นต้น แก่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าบางองค์ แล้วในตลอดแสนกัปล่วงมา ไม่เคยไปถวายเลย อยากถามว่าแค่การถวายดอกไม้มีอานิสงส์มากขนาดนั้นแล้วเขาไม่เคยทำบุญอย่างอื่นเลยหรือ

หลวงพ่อ : ถวายดอกไม้นี่มีอานิสงส์ มี คำว่ามีอานิสงส์มันมีหลายอย่างนะ การถวายดอกไม้เห็นไหม ทำไมประเพณีบางที่เขาตักบาตรดอกไม้ การตักบาตรดอกไม้กับตักบาตรข้าวสาร พวกเราเห็นว่าข้าวสารกินได้ ข้าวสารมีค่ากว่าดอกไม้ไง เวลาเขาบูชาด้วยของหอม ดูทางพราหมณ์เขาสิ เขาบูชาด้วยกำยาน เขาเผาให้กลิ่นมันหอม แต่ของเราบูชาด้วยดอกไม้

บางที่เขาตักบาตรดอกไม้นะ นี่การบูชาด้วยดอกไม้ คำว่าดอกไม้หรือสิ่งใดก็แล้วแต่ นั่นเป็นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง คือหัวใจที่เจตนา ที่เคารพบูชา ของจะมีคุณค่ามากเลย ถ้าจิตใจผุดผ่อง แล้วเรามีความเคารพบูชาของเรา ของใครแม้แต่น้อยดูสิ พระสารีบุตรเห็นไหม มีทุคตะเข็ญใจจะบวชน่ะไปหาใครก็ไม่มีใครบวชให้

พระพุทธเจ้าถามเลย ทุคตะคนนี้เคยมีคุณกับใคร พระสารีบุตรยกมือเลย มีคุณเรื่องอะไร เคยตักข้าว ให้ข้าพเจ้า ๑ ทัพพี ข้าวทัพพีเดียว ถ้าอย่างนั้นเธอ พระสารีบุตรจะบวชให้ บวชคนนั้นมาจนได้เป็นพระอรหันต์นะ ข้าวทัพพีเดียวสำเร็จเป็นพระอรหันต์เลย พระสารีบุตรเป็นคนบวชให้ เพราะคุณของข้าวทัพพีนั้น เพราะอะไร เพราะใจเขาสร้างมาเป็นทุคตะเข็ญใจ

คำว่าทุคตะคือคนทุกข์คนยาก ข้าวทัพพีนั้นถ้ากินลงไปอิ่มท้องนะ ไม่กินอาจตายได้ ช็อกตายเพราะคนหิวข้าว แล้วเขาเสียสละ ดอกไม้ก็เหมือนกัน จะดอกไม้เครื่องการถวายทานสำคัญที่เจตนา เราพูดบ่อยเห็นไหม ในครอบครัวหนึ่งมาทำบุญนะได้บุญไม่เท่ากัน ไอ้พ่อแม่ โอ้โฮ ศรัทธามากเลย ไอ้ลูกน่ะไม่อยากมาอยากดูการ์ตูน

แล้วพ่อแม่ก็บังคับมา ไอ้ลูกคนขับรถมึงต้องขับรถให้กูนะ พอมาถึงก็มานั่งนะไอ้พ่อแม่ก็ชื่นใจนะ ไอ้ลูกก็กระวนกระวาย การ์ตูนไม่ได้ดู บุญได้เท่ากันไหม มาทำบุญด้วยกันเห็นไหม นี่มันอยู่ที่ใจ หลวงตาบอกประจำประตูเปิดกว้างอากาศจะเข้าได้มาก หัวใจความเจตนาเปิดกว้าง เปิดของเรานี่ มันจะได้บุญเราเยอะ อันนี้อันหนึ่งเห็นไหม เราไปมองกันแต่ว่าพวกเราจะให้ค่ากันเอง

ทองคำมีค่า ก้อนกรวดหินไม่มีค่าแต่ถ้าเอาก้อนหินนั้นไปวางพื้นเจดีย์ ทำเจดีย์ จากหินก้อนแรกเขาจะได้บุญไหม มันอยู่ที่นี่ไงใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานนะใจเรานี่ ทีนี้ด้วยความเชื่อของเรานี่ เราจะทุกข์จะยาก เรามีเจตนาที่ดี เราจะทำสิ่งที่ดี ทำ ต้องทำ ทำจนเป็นนิสัย พอทำเป็นนิสัยมันจะคิดตรงข้ามไม่ได้นะ

พอคิดตรงข้าม เออะๆๆๆ มัน เออะๆ เพราะมันเคยไง แต่ถ้าทำชั่วจนเคยนะ เออก็ทำ ก็ธรรมดาโว้ย ก็กูทำทุกวันนะกูทำจนเคยนะ นี่ไงเราต้องมุมานะของเรา นี่หมายถึงว่าเราเข้าใจผิดไปเองว่าตักบาตรดอกไม้ค่ามันน้อย ทำไมได้บุญขนาดนั้น โธ่ คำพูดคำเดียวเป็นพระพุทธเจ้านะเจ้าชายสิทธัตถะ ตั้งใจอธิฐานไง อธิฐานเป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งใจอธิฐานเลยว่าจะขอเป็นพระพุทธเจ้า

นางพิมพานั่งอยู่นะ นั่งอยู่ในศาลาเดียวกัน ไม่ได้เป็นคู่กันนะ เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ อธิฐานตามเลย ขอเป็นคู่ครองตลอดไป เนี่ยดูเจตนาเห็นไหม แล้วก็ไล่ไปเรื่อยๆ จนกว่ามาเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่างพวกเราก็เหมือนกัน ถ้ายังมีเจตนามีสิ่งที่ดีนี่ เห็นไหม เราวัดตรงนี้นะ

วัดตรงมุมมองของพวกโยมนี่ จริงๆ นะมาหาเรานี่ ทุกคน น่าเบื่อ พูดก็ฟังไม่ทัน แถมยังกระโชกโฮกฮากอีก โอ้ยไปที่นิ่มนวลดีกว่า นี่มุมมองไง มุมมองที่ว่า ถ้ามันฟังแล้ว เนื้อหาสาระไง ได้เนื้อหาสาระได้อะไรนี่ อันนั้นล่ะศาสนธรรม ถ้าพูดออกมาแล้วจะนิ่มนวล จะกระโชกโฮกฮากแค่ไหน มันไม่มีเนื้อหาสาระไม่มีอะไรเลยนี่ เสียเวลาฉิบหายเลย ไปฟังทำไม

แต่นี่คนไม่คิดอย่างนั้น โอ๋ย ถ้าไปแล้ว โอ๋ยถ้าฟังธรรมแล้วเป็นบุญนะ นั่งสัปหงกหัวฟาดก็ยังได้บุญอยู่นั้นละ แล้วได้อะไรขึ้นมา แต่ฟังเราแล้วนี่ มันมีอะไรตกผลึกในใจบ้างเตือนใจเราให้ได้คิด อันนี้สำคัญเราวัดตรงนี้เรารู้อยู่ มีลูกศิษย์พูดบ่อยมากเลย หลวงพ่อนี่ฟังยาก แล้วหลวงพ่อนี่ สู้ใครก็ไม่ได้หรอกเพราะกิริยาของหลวงพ่อใช้ไม่ได้เลย ลูกศิษย์นี่ เตือนเยอะมาก

แต่กูบอกว่าช่างมันเถอะ เพราะ ถ้ากูพูดดีๆ อย่างเขานี่นะ กูพูดไม่เป็น กูพูดไม่ได้ ถ้ากูพูดอย่างนั้นนะ มันไม่มีธรรมะออกมาหรอก มันก็ต้องไปนั่งปั้นจ้ำปั้นเจ๋อ พูดดีๆ พูดเพราะๆ อยู่อย่างนั้นล่ะ แต่ถ้ามันปล่อยมาตามธรรมชาตินี่ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นนิสัยเรา มันเป็นอำนาจวาสนาเอง

ฉะนั้นใครจะถือเรา ว่าเป็นครูบาอาจารย์นี่ต้องโดนเขาติหน่อยว่า โฮ อาจารย์มึงนักเลงฉิบหายเลยนะมึง มึงทนเอาแล้วกัน มึงไม่ได้อาจารย์ดีๆ หรอก มึงได้แต่ นี่มันจริตนิสัยเห็นไหม ถ้ามันเข้าใจไปแล้วนี่ แต่เราไม่เข้าใจตรงนั้น เราเอาเนื้อหาสาระไง จริงๆเราก็เห็นใจอยู่นะ

เราเองก็อยากจะเรียบร้อยอยากจะทำให้มันดีนะ เพราะอะไร เพราะหลวงตาสอน สมณสารูป ให้มันมีบ้างสิ เวลาท่านอัดเรานะ สมณสารูป กิริยามารยาทนะให้มันมีบ้างสิ กิริยาพระนะไม่เห็นมีเลย เราก็ฟังแล้วก็เฉยๆ มันเป็นนิสัยนะ มันทำมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นมันเป็นเวรเป็นกรรมของเราเอง ไม่ใช่ของใครหรอก เราสร้างมาอย่างนี้ แต่เราอยากให้ ประสาเรานะ เราทำของเรามา เราอยากให้คนได้เนื้อหาสาระนะ

เพราะเราก็ทุ่มเทพอสมควร เราก็ทุ่มเทกับชีวิตเรามาพอสมควรเราก็อยากทำประโยชน์นะเราคิดว่าเราทำประโยชน์ได้อย่างนี้ แล้วถ้ามันมีอะไรที่คนเขาสะดุดตาเขาไม่อย่างนั้น มันก็กรรมของสัตว์ เราถึงบอกว่ามันหาให้ได้ดั่งใจเรา ไม่มีหรอก จะเอานิ่มนวลจะเอาอะไรก็ได้แต่น้ำท่วมทุ่งไง ถ้าจะเอาเนื้อหาสาระก็ทนกิริยาอย่างนี้หน่อยหนึ่งก็แล้วกัน

ถาม : จะปฏิบัติอย่างไรให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยากลำบากขัดสนเงินทอง มีหนี้สิน

หลวงพ่อ : ปฏิบัติอย่างไร ดูอย่างที่พูดเมื่อกี้นี่ ทุคตะเข็ญใจ ของเรานี่นะ สิ่งที่เป็นปัจจุบัน โยมทำบุญตอนนี้นะ ถ้าโยมทำบุญสิ่งเหล่านี้ หลวงตาพูดอย่างนี้ เราทำบุญกุศลของเรา ทำดีนี่ เราเป็นคนจนเงิน จนทอง เราไม่ใช่ว่าจำเป็นจะต้องเสียสละทุกอย่างไป

การทำบุญกุศล พระพุทธเจ้าสอนขนาดนี้นะ เราหาเงินมาได้บาทหนึ่ง ไม่ให้ทำบุญหมดนะให้เก็บไว้ทำทุน ให้เก็บไว้ดำรงชีวิต ให้เก็บไว้เลี้ยงดูพ่อแม่ สิ่งที่เหลือจากที่เราเก็บใช้สอยแล้ว ถึงให้ทำบุญนะ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีอะไรให้ทุ่มหมดๆ ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอกเพราะการทุ่มหมดน่ะมันเป็นผลของทาน

มันจะสิ้นกิเลสไปด้วยการประพฤติปฏิบัติ บุญกุศลนะ ทาน ศีล ภาวนา หลวงตาพูดบ่อย จะทำบุญกุศลมากมายขนาดไหน ถ้าไม่ภาวนาไม่ถึงที่สุด ไม่ภาวนามันพ้นไปไม่ได้ สิ่งที่พ้นไปได้คือการภาวนา ทีนี้การภาวนาของเรา การทำความดีของเรานี่ ในเมื่อชีวิตเราทุกข์จนเข็ญใจ มีความยากลำบาก มีความขัดสน ความขัดสนเราก็ทำความดีของเรา

ทีนี้พอความขัดสนแล้ว เราก็จะประชดไง ก็ขัดสน คนอื่นเขาไม่ขัดสน ประชดสังคม คำว่าประชดสังคม สังคมรังแกเรา สังคมไปรังแกใคร สังคมก็คือสังคมน่ะ มันกรรมของเราเกิดมาร่วมยุคกับเขาเอง เขาเรียกสภาคกรรมนะ เราเกิดมาร่วมยุคสมัยที่มันเป็นอย่างนี้ แล้วยุคสมัยที่มันดีทำไมเราไม่เกิดล่ะแล้วเราเกิดชาตินี้ชาติเดียวเหรอ

ไอ้ที่เราเกิดมาแล้วบอกว่าสังคมรังแกเรา เรามาทุกข์มายากนี่ เราเคยเกิดเป็นผู้บริหารสังคมหรือเปล่า เราเคยเกิดมาแล้วทำลายสังคมบ้างหรือเปล่า ตั้งแต่อดีตชาติรู้ตัวบ้างไหม เวลาเราเกิดมา แต่ที่เราทำนะ เราไม่รู้สึกตัวหรอกว่าเราทำลายเขาไว้ พอเราเกิดมาอีกทีเราต้องมาเจอประสบการณ์อย่างนี้ทำไมฉันเกิดมาแสนทุกข์แสนยาก

ทุกข์ยากมันผลัดกันนะมันเวียนตายเวียนเกิดมันผลัดกันนะ มีบุญกุศลมันจะไปเป็นผู้ปกครองแล้วเวลาเอ็งเป็นผู้ปกครองนี่ เอ็งมีอำนาจกว่าเขานี่ แล้วเอ็งได้ทำประโยชน์อะไรกับประเทศชาติบ้างไหม เอ็งมันมีอำนาจเอ็งก็หาแต่ความสุข เอ็งได้เสพสุขของมัน เอ็งก็ขูดรีดเขา แล้วตายไปเป็นอะไร ก็เป็นทาสไง ตายจากชาติกษัตริย์ ไปชาติหน้ากูก็จะไปเป็นทาสรับใช้เขาเพราะกูขูดรีดเขาไว้

ทีนี้เราว่าเกิดมาทุกข์มายากคำว่าทุกข์ยากผลของการกระทำคือกรรม แต่ในปัจจุบันนี้ หูตาเราสว่างใช่ไหม หูตาเราบอดเราอยากทำงาน ทำไมชีวิตมันทุกข์ยากขนาดนี้ หลวงตาบอกนะทุกข์ยากใดก็ไม่เท่ากับทุกข์นั่งภาวนา นั่งภาวนานี่จะเอาตัวรอด คืนทั้งคืนเหมือนกับไฟทั้งกอง ไฟสุมมาที่ตัวเรา และเผาตัวเราตลอดเวลาเลย กระดูกแทบแตกหมดเลย นี้ทุกข์ยากไหม

ทุกข์ยากอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อจะพ้นจากทุกข์ไง นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราเกิดมาแล้ว มันทุกข์มันยาก ในเมื่อมันเกิดมาอย่างนี้ใช่ไหม เราถึงบอกว่า เรากำมา เราก็แบสิ กรรมคือการกระทำ ก็เรากำมาเอง แบมันออก ถ้าแบมันออกแล้วแบอย่างไรละ จะแบอย่างไรการจะแบออกแล้วเราก็ฝืนมัน ทุกข์ยากขนาดไหนเราก็ใช้ตามที่เราจะมีจะเป็นนั้นละ แล้วทำดีไป

ทำความดีของคนทุกข์ยาก ทำดีและความดีของเราน่ะ ใครจะดูถูกเหยียดหยามก็ช่างแม่งมัน เขาดูถูกจริงๆ สังคมเป็นอย่างนั้น เห็นคนทุกข์คนยากนะทั้งดูถูกทั้งเหยียดหยามเอ็งอย่าเหยียดหยามค่าของคนนะมึง ค่าของคนมันอยู่ที่ใจโว้ย ใครจะเหยียดหยามช่างหัวมัน เพราะอะไร เพราะเราเกิดมาอย่างนี้ รักษาใจเรา นี่ขันติธรรม บารมีธรรม เราสร้างได้ เราสร้างของเราขึ้นมาก็ได้ ขันติธรรม บารมีธรรม เราสร้างของเราขึ้นมา

มันทุกข์มันยาก มันทุกข์ยากขนาดไหนวะ อย่างมากก็แค่ตาย ถ้ามันไม่คิดอย่างนี้นะ มันทุกข์ยากมึงดูถูกกูหรือ มันดูถูกก็อัดเขาเลย ติดคุกทุกข์ขนาดนี้ยังไม่พอนะมึงยังเข้าไปอยู่ในคุกอีก ตั้งสติเราๆ เนี่ยเวลาคิดอย่างนี้ทำไมเราไม่ไปเกิดเป็นลูกคนมีตังค์ล่ะทำไมเรามาเกิดอย่างนี้ละสังเกตได้ไหม คนมั่งมีศรีสุขนะ ไม่ค่อยมีลูก

ไอ้คนจนๆ น่ะเราสร้างวัดในแถบชายแดนเยอะ เวลาไปส่งเสบียงน่ะเห็นพ่อแม่เดินนะแล้วก็ลูกเดินเป็นลูกเป็ดเลย โอ้โฮ เดินเป็นแถวๆ คิดในใจนะไอ้พวกนี้ไม่รู้จักวางแผนครอบครัว ไปดูสิ แล้วพอเกิดมาแล้วนะไปเรียนหนังสือก็ไม่ไหว มันไกลจะเดินไปไหนก็ไม่ได้

เด็กมันก็มีเดินกับเดินบนเขานะมันก็มีแต่เดินกับเดินทั้งนั้นน่ะ ไปดูสิ พอเดินมานะพ่อเดินมาแม่เดินมาแล้วก็เรียงเป็นแถวไปเลยนะ คิดในใจตลอดนะ เอะไอ้พวกนี้วางแผนครอบครัวไม่เป็นเว้ย เขาทุกข์กว่าเรานะเขาทุกข์กว่าเราเห็นไหม เวลามีปัญหาปั๊บนี่ เขาจะหนีเข้ามา เพราะถ้าเขาอยู่ชายแดน เขาอยู่ฝั่งโน้นนะ เขาจับไปนะแล้วให้เดินเหยียบกับระเบิดไปนี่ ให้หาบเสบียง เขาทุกข์กว่าเราขนาดไหน อันนี้มันทุกข์นี่

ถามมานี่ เหมือนทอดอาลัยในชีวิต จริง มันก็ทุกข์ ดูพระสิ หลวงตานี่ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ มีบริขาร ๘ คนที่มีแค่บริขาร ๘ เป็นสมบัติส่วนตัว หาเงินเข้าประเทศชาติเป็นหมื่นๆ ล้านหาเงินเข้าประเทศชาตินี่ คนจนมีสมบัติส่วนตัวแค่บริขาร ๘ มีบาตร ๑ ใบ มีจีวร ๓ ผืนมีบริขาร ๘ เท่านั้น จนไหม

ถ้าเอาสมบัติส่วนตัวจนแทบไม่มีอะไรมีค่าในโลกเลย แต่ท่านคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ทำประโยชน์กับสังคมมหาศาลเลย เราจนเราก็จนของเราแต่จิตใจเราไม่จน จิตใจเราองอาจกล้าหาญ จิตใจของเราก็มนุษย์คนหนึ่งนะโว้ย เกิดเหมือนกับมนุษย์นี่แหละ แล้วก็จะตายเหมือนมนุษย์นี่ มนุษย์เศรษฐีมหาเศรษฐีก็เกิดเหมือนกูนี่แหละแล้วก็ต้องตายเหมือนกูนี่แหละ

แต่ในเมื่อเราเกิดมาด้วยกรรม อย่าท้อแท้ๆ หัวใจของคนยิ่งใหญ่มีคนมาหาเราเยอะมาก ข้าราชการไม่ได้ ๒ ขั้นคิดฆ่าตัวตายกัน มาหาเรานะเราบอกเลยนะโยมได้ตำแหน่งนะแล้วโยมจะอยู่กับมันตลอดไปไหม เดี๋ยวก็ย้าย ไม่ย้ายก็เกษียณแล้วไอ้ตำแหน่งมันมีความสำคัญอย่างไร ไม่มีโยมตำแหน่งนี้มันอยู่กับใคร ทำไมมองดูถูกตัวเองขนาดนี้

ตำแหน่งหน้าที่มันสวมบนเราใช่ไหมแล้วเรามีเราอยู่แล้วตำแหน่งมันมีความหมายอะไร ไปเห็นตำแหน่งจนเหยียบย่ำตัวเองไง จนเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไม่มีค่าเลยไง คุณค่าความเป็นมนุษย์ของเรานี่ มีค่ากว่าแต่เพราะศักดิ์ศรีไม่ได้ ๒ ขั้นไม่ได้ตำแหน่งไอ้ศักดิ์ศรีคืออะไรล่ะ ก็กิเลสหลอกมึงนะ พอพูดอย่างนั้นไปนะ เขามาสารภาพเองนะ

เขาคิดฆ่าตัวตายแล้วพอฟังเทศน์บ่อยๆ เขาสารภาพกับเราเลย มาสารภาพกับเรานี่เยอะ คิดจะทำลายตัวเองแล้วมาฟังนี่ เพราะอะไรรู้ไหมเพราะเวลาเราบวช แล้วเรามาภาวนา สิ่งที่มันเป็นไปคือหัวใจนะ คือความรู้สึกนะ จากไม่เป็นสมาธิ มันเป็นสมาธิ จากที่เป็นสมาธิแล้วนะ ออกวิปัสสนามันลำบากมาก มันเคี่ยวเข็ญ มันกว่าจะ มันลำบากมากจริงๆ ร่างกายเรานี่ เจ็บไข้ได้ป่วยยังตัดทิ้งได้ยังเปลี่ยนได้นะ

ไอ้ความรู้สึกมันตัดไม่ได้มันเปลี่ยนไม่ได้ โอ้ย ลำบากจริงๆ แล้วแก้ไขมันทำลายมัน เราถึงเห็นคุณค่านะ เห็นคุณค่าของหัวใจนี่สำคัญที่สุดเลย ปฏิสนธิจิต จิตที่เกิดที่ตายไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็ปฏิสนธิจิตนี่แหละไปเกิดไปเป็น แล้วปัจจุบันนี้ มันมาเกิดเป็นเราเกิดเป็นเราเพราะอะไรเพราะกรรมของมัน เห็นไหม

อย่างว่า นาย ก นาย ข มันมาเกิดเป็นเรา ก็เกิดแล้ว พอเกิดมาแล้วก็ชาติหนึ่ง เราก็ทำของเราไป มันเป็นเวรเป็นกรรมของเราแต่ถ้าทำดีเห็นไหม ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม ถึงมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น มนุษย์นี่เว้ย เทศน์สอนเทวดาเว้ย เราอยากไปเกิดเป็นเทวดาจะมีความสุข เทวดาต้องมาฟังเทศน์มนุษย์นะมึง แล้วเราเป็นอะไร เราเป็นมนุษย์ เราเป็นคนเราต้องเข้มแข็ง

ทีนี้ว่าต้องเข้มแข็งนี่เพราะเราแพ้ภัยกิเลสไง กิเลสมันเหยียบย่ำ แล้วท้อแท้แล้วไม่สู้แล้วอายจนก็อาย อายใครจนรวยมันเป็นของสมมุติ คำว่าสมมุติน่ะมันเป็นวาระนะเอ็งดูสิ ลดค่าเงินบาททีหนึ่งเวลาหุ้นตกทีหนึ่งเศรษฐีขับรถแท็กซี่เยอะแยะเลย เขาทุกข์ไหมเขาก็ทุกข์เห็นไหมโลกมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอนิจจังอย่าไปทุกข์มันมาก

ถาม : อยากถามท่านอาจารย์ว่า ๑. สูบบุหรี่ผิดศีลข้อ ๕ ไหม ดื่มสุราจะตกนรกไหม

หลวงพ่อ : เลิกได้ควรเลิก อันนี้คำว่าเลิกได้ควรเลิก และ เพราะปัจจุบันนี้ โลก ทางวิทยาศาสตร์เขาไปไกลแล้วไง สูบบุหรี่ไม่ผิดศีลข้อไหนเลย ดื่มสุราผิดศีลข้อ ๕ ใช่ไหม สุราเมรยมัชชปมา ทัฎฐานา การดื่มสุรานี่ผิดศีล พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้เลย เพราะการดื่มสุรา พอสติขาดนี่ ปัญญาขาดหมด ทุกอย่างขาดหมดเลย

ถ้าดื่มสุรา พอมันไม่มีความรู้สึกนะมันทำผิดได้ทุกๆ อย่างเลย ดื่มสุรามันถึงผิดศีล แต่การสูบบุหรี่นี่ในศีล ๕ ไม่มี เพราะอะไร เพราะสมัยก่อนนี่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ไอ้พวกยาไซนัสยาพ่นมันมีนะทีนี้ยาพ่นยาอะไรต่างๆ มันมี ทีนี้บุหรี่นี่ ถ้าพูดถึงเขาก็บอกว่า เป็นยาทำให้สดชื่นนี่ โลกจะอ้างนะ ออกตัวก่อน เราไม่สูบบุหรี่ เราสูบบุหรี่ไม่เป็น

แต่ทีนี้เราจะบอกว่าเราจะอธิบายว่า พระพุทธเจ้านี่ ฉลาดมากอะไรที่เป็นประโยชน์พระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธไง ถ้าคนไม่เป็นนะ ผลลัพธ์ที่ดีมันจะปฏิเสธสิ่งที่ตรงข้าม แต่พระพุทธเจ้านะท่านจะบอกเป็น ๒ ด้านหมด มีดีมีเลวในตัวมันเอง ธรรมวินัยนี่ อันนี้สูบบุหรี่นี่ ในสมัยนั้นท่านไม่ห้ามและไม่รุนแรงเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้คนมันเยอะ แล้วนิโคตินต่างๆ มันไปทำลายคนอื่นนะ

เราคิดว่าถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ อาจจะบัญญัติก็ได้ ทีนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติห้ามบุหรี่นะ อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติห้ามตัดตอน ห้ามแต่งเติมในธรรมวินัย นี่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เราไปบัญญัติกันเองนะ ยิ่งการโฆษณานะปัจจัยที่ ๕ ไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่ามีปัจจัย ๔ มันบอกมีปัจจัยที่ ๕ คือมันอยากขายของมันอ้างพระพุทธเจ้านะ ว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าปัจจัยที่ ๕ ไอ้นี่มันกล่าวตู่พุทธพจน์

สูบบุหรี่ผิดศีลข้อไหน ไม่ผิด เราเองนี่ พระมาอยู่กับเรา เราก็อนุญาตให้สูบบุหรี่พอสมควร แต่เราก็เตือนพระตลอด บอกตอนนี้เขาจะจับมึงขังคุกนะเพราะเดี๋ยวนี้มันกฎหมายอาญานะ ห้ามสูบบุหรี่นี่ มึงสูบบุหรี่เดี๋ยวเขาจับมึงติดคุกเลยล่ะแต่ถ้าเพื่อสุขภาพเราเห็นด้วยนะ

ทีนี้ไอ้เรื่องสุขภาพนี่ อย่างเช่นกินอาหารนี่ โดยมังสวิรัติ กินชีวจิตนี่ เราบอกไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ถ้ากินในทางปฏิบัตินะ ถ้ากินแล้วมีประโยชน์นะ ควายมันกินหญ้าทั้งชาติควายมันเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แต่ ถ้ามึงกินเพื่อสุขภาพ กูเห็นด้วย ถ้ามึงจะบอกว่าสุขภาพกินเพื่อความดีของร่างกาย กินเพื่อความดีเห็นด้วย

แต่อย่าอ้างว่ากินหญ้าแล้วเก่ง อย่าอ้างว่ากินผักแล้วเก่ง เพราะการกินก็กินเข้าไปให้ท้องอิ่มเท่านั้นนะหัวใจมันก็เป็นเท่านั้นน่ะ หัวใจจะพ้นได้ด้วยการปฏิบัติ แต่กินเพื่อสุขภาพเราเห็นด้วย แต่ถ้าบอกกินแล้วเป็นบุญอย่ามาอ้างไม่มีหรอก อย่าๆๆ

ดื่มสุราตกนรกไหม ตก เพราะดื่มสุราแล้วมันจะไปทำลายคนอื่นไง สุราตัวมีปัญหาในครอบครัวเลย สีเลนะ สุคติ ยันติ สีเลนะ โภคสัมปทา ถือศีลแล้วจะมีความสุข สุคติ ยันติ สีเลนะ โภคสัมปทา จะเกิดโภคทรัพย์ ถ้าไม่ดื่มสุรานะ ขวดหนึ่งเท่าไร ไม่ดื่มปีหนึ่งเงินเหลือเยอะแยะเลย มีโภคทรัพย์เต็มทันทีเลย

ถือศีลนี่ ถ้าเป็นไปได้เห็นด้วย เห็นด้วยมากๆ เลย เพียงแต่ว่า อย่างที่ว่าเห็นไหมหลวงปู่ฝั้นนี่ เขาไปถามเลยว่าเขาต้องเข้าสังคมเขาต้องอะไร หลวงปู่ฝั้นตอบเลย อยู่ในเทปหลวงปู่ฝั้น เราไม่ดื่มสุรานี่ สังคมเราเต็มศาลาทุกวันเลย มันเป็นข้ออ้างไง หลวงตาก็ไม่ดื่มสุรา ดูสิ คนแน่นวัดแน่นวัดตลอดเลย ทำไมต้องดื่มสุราเพื่อเรียกคนวะ ถ้างดได้เห็นด้วยนะ เป็นสิ่งที่ดี

แต่จะบอกว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้นะ ไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ มีอยู่เราเตือนพระบ่อย มหาปเทส ๔ พระพุทธเจ้านี่ไม่ได้บัญญัติ ถ้าเข้ากับบัญญัติให้ถือว่าบัญญัติ ในปัจจุบันนี้ โลกมันเจริญ พอโลกเจริญโลกวัชชะโลกเขาเห็นถึงโทษของมัน โลกเห็นโทษของมันนี่ โลกเขาปฏิเสธ ถ้าโลกปฏิเสธ พระไม่ควรทำ เขาเรียกว่าโลกวัชชะโลกติเตียน แต่กฎหมายไม่ได้บังคับแต่โลกติเตียนโลกติเตียนไม่ควรทำแต่พระเราใจอ่อนบางองค์ยังสูบอยู่แล้วแต่ความเห็นแต่โลกติเตียนเราไม่ควรทำสมณสารูปนะ เราจะสอนเขาการสูบบุหรี่ไง

ถาม : ๑. เวลานั่งสมาธิแล้วเห็นเป็นรูปวงกลมสีขาวปรากฏขึ้นรอบๆ เป็นสีดำบางครั้งก็เป็นสีเขียวบางครั้งก็เป็นเส้นสีขาววิ่งผ่านไปมาบางครั้งเส้นสีขาวก็วิ่งมาหยุดตรงหน้าหมายถึงอะไรคะ

หลวงพ่อ : จิตสงบนะ นี่พูดเมื่อกี้ ตอนแรกเราพูดเรื่องนี้แหละในการปฏิบัติมันจะมีการเปลี่ยนแปลงของจิต จิตมันจะมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าจิตไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปกติของจิต จิตกับสมาธิมันต่างกันอย่างไร ถ้าสมาธิมีอยู่แล้ว เรานี่ ที่เขาเข้าใจกันว่า เรานี่มีสมาธิกันอยู่แล้ว เราใช้ปัญญากันเลย แล้วเราจะเป็นพระอรหันต์กันหมดเลย

ทางโลกเรียกสุตมยปัญญามันลงถึงจิตใต้สำนึกไม่ได้ เพราะความคิดมันเป็นอาการของจิต มันอยู่บนจิตความคิดนี่ มันอยู่บนจิตมันเป็นความคิดของมัน แต่กิเลสมันอยู่ใต้จิต มันอยู่จิตใต้สำนึกฉะนั้นถ้าจิตมันสงบเข้าไปนี่ มันจะเข้าไปถึงเนื้อของจิต มันจะเข้าไปอยู่จิตใต้สำนึกนี้ พอเราเกิดเป็นปัจจุบันธรรมเห็นไหม ปัจจุบันที่มันมีปัญญาไล่เข้าไปนี่ มันจะเข้าไปทำลายกิเลส

ฉะนั้นความที่เขาไม่เข้าใจ ความที่เขาไม่เคยเห็นกิเลส ความที่เขาไม่เคยเห็นผู้ร้ายเลย แต่เขาบอกเขาจับผู้ร้ายเข้ากรงนะ แต่เขาไม่รู้จักผู้ร้ายนะ แต่มันบอกมันเอาผู้ร้ายเข้ากรง มันประหารชีวิตผู้ร้ายด้วย นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อจิตมันไม่เคยเป็น มันไม่เคยทำ มันจะไม่เห็นอาการอย่างนี้ ถ้าอาการอย่างนี้ เพราะจิตมันจะมีการเปลี่ยนแปลงพอจิตมีการเปลี่ยนแปลงนี่ มันจะเห็นสีเห็นแสงอะไรต่างๆ ของมันน่ะ มันมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว

การที่เห็น มันจะบอกว่าจิตนี้มีการเปลี่ยนแปลง จิตนี้มีการเปลี่ยนแปลงจะเห็นไม่ได้ จะบ้าเหรอ ก็นั่งอยู่นี่จะเห็นอะไร ก็ตานี่เห็นๆ มันจะมีสีได้อย่างไร มันไม่มีหรอก แต่ถ้าพอมันไม่มี ทำไมมันเห็นล่ะ เห็นเพราะจิตมันเห็นไม่ใช่ตาเห็น เห็นไหม ถ้าจิตมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าจิตมันละเอียดเข้าไป มันจะเห็นของมัน

แล้วการเห็นนี้ เห็นเฉพาะบุคคลไม่เห็นทุกๆ คน มันพันธุกรรมทางจิต จิตคนไหนที่มันเห็น มันรู้ของมัน ถ้าเห็นนะใครเป็นคนเห็นล่ะ จิตเป็นคนเห็นใช่ไหม ถ้าเราจะแก้เหรอ แก้เราก็กำหนดพุทโธ ชัดๆ สิ มันก็กลับมาที่จิต มันก็ดับไง จิตรู้ จิตเห็น จิตสัมผัส ถ้าจิตรู้ จิตเห็น จิตสัมผัส กับมาที่จิตสิ่งที่สัมผัสมันก็ไม่มี มีเพราะเราไปสัมผัสเขา วิธีแก้กลับมาที่พุทโธ

ถ้าใช้พุทโธหรือใช้อานาปานสติ กำหนดอะไรก็แล้วแต่ กลับมาที่ตรงนี้ชัดๆ ภาพนั้นหายไปเองไม่ต้องตกใจๆ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ถ้าเราตกใจเราไปกลัวอากาศทำไมเราไปกลัวลมเหรอ กลัวแดดเหรอ ลมแดดมันธรรมชาติของมันใช่ไหม เราไปรับรู้มันต่างหาก นิมิตก็เหมือนกันมันเกิดจากจิตมันไม่ใช่จิตไปกลัวอะไรมันไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวใดๆทั้งสิ้นเลย กลัวผีกลัวสางกลัวตัวเอง

ถ้ากูไม่กลัวตัวเองสักอย่างกูจะกลัวใคร ผีมาร้อยคนกูถีบผียันผีกลับไปเลย แต่เพราะเรากลัวเองใช่ไหม ผีมากูยอมแพ้กูวิ่งหนีก่อนเลย ผีไม่มาก็กลัว ตกใจกลัวแล้ว นี่ก็เหมือนกันจะบอกว่า ถ้าเห็นสีเห็นแสง บางคนกลัวมันจะหวั่นไหวไง ไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น อยู่กับสติอยู่กับพุทโธ ไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย ไม่มี สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะตัวเราเองเหมือนเราทิ้งฐานไง เราทิ้งตัวเราเอง เราวิ่งไปหาเขา อยู่ดีๆ วิ่งเข้าไปเจ็บไปปวด วิ่งเข้าไปให้เขากระทืบ กลัวๆๆ ก็อยู่กับกลัวใช่ไหม

พอเราถอยกลับ ถอยจาก กลัวมาหาเรานี่ กลัวมันอยู่ไหน เพราะกูไม่กลัวแล้วมีอะไร ไม่มีๆ นี่เทคนิคการปฏิบัติ ไม่เคยปฏิบัติ ไม่รู้หรอก แล้ววิ่งหนีแล้วจะเป็นอย่างนั้น จะแก้อย่างนั้น ไม่ต้อง ไอ้ที่แก้ๆ น่ะ มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์เห็นไหม เวลาผีเข้า นี่ ใส่กันเลย ผีเข้าผีออกนะแต่ของเรานี่ พุทโธตั้งสติให้ดีพอตั้งสติเข้มแข็ง จิตเข้มแข็งขึ้นมา ใครก็มาทับเราไม่ได้เวลาผีเข้า เวลาทับทรงนี่ จิตเรามีอยู่แล้ว เจ้าเรือนคือจิตของเรา เราเป็นเจ้าของบ้าน มีผู้อาศัย

จิตอีกดวงหนึ่งเข้ามาขออาศัยร่วม พออาศัยร่วมเข้ามาเบลอเลยนะไม่รู้ตัวเลยนะ พอวิญญาณมันออกไป โอ้โฮ เมื่อกี้ทำอะไรก็ไม่รู้ ก็ไม่รู้ จิตเราอ่อนไง แต่ถ้าจิตเราเข้มแข็งใครเข้าไม่ได้ ผีเรือนเข้มแข็ง ผีป่าอย่าเข้ามา ผีเรือนอ่อนแอผีป่าเข้าอาศัย เข้มแข็งพุทโธนี่แหละ นี่ไงๆ ลูกศิษย์มีอาจารย์เราลูกศิษย์มีอาจารย์เราลูกศิษย์พระพุทธเจ้าไม่ต้องกลัวสีเขียวสีอะไรก็แล้วแต่ สีนี่มันเปลี่ยนแปลงได้

ถ้าจิตคนเป็นนะคนเป็นน่ะสีดึงกลับมาหาเราได้เลย ดึงสิดึงแสงกับมาเป็นเรา มาสว่างที่กลางจิต พั้บ ออกเลยแสงตกที่ไหนปั๊บนะเสียงทุกอย่างหูทิพย์ตาทิพย์หมดเลย พูดอย่างนี้ไม่ได้พูดให้ทำนะพูดถึงว่าขบวนการของจิต ขบวนการของมันเยอะแยะ แต่จะอธิบายในแง่มุมไหน ขอให้มีเหตุเถอะ

ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วรู้สึกพื้นเอียงหรือหมุนเหมือนพื้นโยกไปมาหมายถึงอะไรบ้างครับ

หลวงพ่อ : เหมือนกันนะนี่ เมื่อกี้สีแสงมันออกไปใช่ไหมพื้นเอียงพื้นโยกนี่ บางทีเรานั่งไปนี่ อย่างนี้ พอเรานั่งไปแล้วนี่ เขาเรียกว่า เกิดปีติพอเกิดปีติคือความรับรู้ถึงความคิดคนอื่นเลย ฉะนั้นพื้นเอียงพื้นโยกต่างๆเราไม่โยกไปกับเขา เรากำหนดจิตไว้เฉยๆ พุทโธๆๆ นี่ มันจะโยกมันจะเอียงอย่างไรมันเรื่องของอาการความรู้สึก จริงๆ ไม่โยกหรอกเพราะจิตเรามันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ไง

จิตมีการเปลี่ยนแปลงจากปุถุชนจากจิตสมาธิของปุถุชน จะเข้าสมาธิ เห็นไหม เข้าสมาธิได้เป็นกัลยาณปุถุชน แล้วจะยกขึ้นเป็นโสดาปัตติมรรคนี่ จิตมันลึก คำว่าลึกเพราะกิเลสมันอยู่ใต้สำนึก จิตมันต้องเป็นตัวของจิต ความคิดจากจิตปัญญาจากจิตและปัญญาจากสมอง โลกนี่ส่วนใหญ่แล้ว ปัญญาจากสมอง เพราะอะไร เพราะพลังงานของจิตมันต้องผ่านสมองเพราะสมองเป็นศูนย์บัญชาการ สมองนี่เป็นที่เก็บข้อมูล พลังงานไม่มีสมองใช้ไม่ได้

นี่พอความคิดนี่ เขาดูอดีต อนาคต คำว่าอดีต อนาคต หมายถึงว่า พลังงานนี่มันจับจิต มันเคลื่อนตัวไปอยู่ที่พลังงานที่ไปเลี้ยงสมองใช่ไหม เพราะสมองทำงาน แต่ถ้ามันหดมาที่ตัวจิต จิตมันเป็นปัจจุบันเห็นไหม มันไม่ใช่ปัญญาสมอง มันไม่มีอดีตอนาคตมันเป็นปัจจุบันไง นี่มันจะเป็นขบวนการของมัน

ฉะนั้น ถ้ามันเอียงมันโยกกลับมาที่ผู้รู้ กลับมาที่พุทโธ เฉยๆ การเอียงการโยก พอมันเอียง มันโยกนะ เดี๋ยวมันจะพองนะ ร่างกายนี่เหมือนกับร่างกายไม่มีอะไรเลย มีแต่ผิวหนังข้างในกลวงหมดนะ ปีตินี่มันเป็นได้ร้อยแปด อันนี้อาการโยกอาการคลอนอยู่เฉยๆ อยู่ที่พุทโธ กลับมาที่พุทโธ กลับมาตั้งสติไว้ มันจะโยกคลอนพักหนึ่งหรือมันจะแรงขึ้นหรือมันจะเบาลง

แล้วมันจะค่อยๆจางไป จางไปเพราะอะไร จางไปเพระจิตมันดีขึ้น พอมันโยกมันคลอนมันดีนะ โอ้โฮ มีความสุขมากเลยแล้วภาวนาไปเดี๋ยวนี้ความสุขไม่มีเลย เดี๋ยวนี้เจ็บปวดอย่างเดียว เพราะอะไร เจ็บปวดอย่างเดียวนะเพราะมันผ่านจากปีติ มันก็จะเข้าสู่เอกัคคตารมณ์ จิตมันจะไปอีกเหมือนกับเรากินอาหารทุกวันๆ โอ อาหารนี้อร่อยมาก กินทุกวันมันก็จืดชืด

จิตเวลามันเข้าไปสัมผัสบ่อยครั้งเข้า เรามีสติควบคุมบ่อยครั้งเข้า มันจะละเอียดเข้าไป นึกว่ามันไม่มี มี มีอยู่แต่เราคุ้นชินกับมัน แล้วเราจะพัฒนาจิตเราเข้าไปอีก ตั้งสติไว้ ทำไปๆ ทำไปเรื่อยๆ พอจิตมันสงบแล้ว จิตมันมีกำลังแล้วนะ ออกมาใช้ปัญญาบ้าง ก็คิดว่า ถามตัวเองเลย เอ็งเกิดมาจากไหน เอ็งเกิดมาทำไม เพราะอะไร เพราะมีกายกับจิตเท่านั้น ที่เราติดอยู่ ถามตัวเองนี่ มาจากไหนนี่ นั่งอยู่นี่ มาจากไหนแล้วจิตนี่มาจากไหน แล้วจะทำอะไรต่อไป

พอถามปั๊บนี่ เราตั้งโจทย์ปั๊บ ปัญญามันจะหมุนไง ถ้าเราไม่ตั้งโจทย์ของเราเองนะชีวิตเราก็จำเจอยู่อย่างนี้ เราต้องตั้งโจทย์กับเรานะ เกิดมาทำไมแล้วจะไปไหนกันนี่ เราเกิดมาแล้ว เราจะไปไหนกัน พอตั้งโจทย์ถามปั๊บ ปัญญามันจะเกิดขึ้น นี่พูดถึงว่า เวลามันโยกมันคลอนนะ มันเกิดจากปีติเกิดจากการรับรู้ เกิดจากการรับรู้ที่จิตละเอียด เหมือนเรานั่งอยู่บนพื้นดินนี่ เรามั่นคงใช่ไหม เวลาขึ้นเครื่องบินไป เวลามันตกหลุมอากาศ มันโยกเยกเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันดีขึ้นมันลอยขึ้นมันเบาขึ้น มันอยู่บนอากาศความรับรู้ของมันนะร้อยแปดพันเก้า แล้วร้อยแปดพันเก้า กูเป็นพระอรหันต์แล้วกูรู้ ไอ้นี่ อาการเฉยๆ มันไม่มีอะไรหรอก อาการเฉยๆต้องปรับปรุงเหมือนการออกกำลังกายนี่ ร่างกายจะแข็งแรงอย่างไร เอาร่างกายแล้วทักษะเราค่อยฝึกกันอีกทีหนึ่ง

ถาม : ระหว่างบุคคลที่ถือศีล ๕ หรือศีล ๘ หรืออุโบสถศีล อย่างเคร่งครัดเฉพาะวันพระหรือวันสำคัญทางพุทธศาสนากับบุคคลที่ถือศีล ๕ เท่านั้นเคร่งครัดตลอดชีวิต ทั้ง ๒ ประเภทจะเข้าข่าย สีลัพพตปรามาส หรือไม่ครับ

หลวงพ่อ : มันไม่เกี่ยวกับ สีลัพพตปรามาส อะไรเลยนะ ทั้ง ๒ ประเภทไม่เข้าข่าย สีลัพพตปรามาส คือลูบคลำในศีล ทั้ง ๒ ประเภท ถ้าทำผิดศีลก็ลูบคลำทั้งหมด แต่ถ้าเราทำเราถือเราบริสุทธิ์ เราถือของเรา คำว่าบริสุทธิ์นี่ ศีลนี่นะ มันเป็นรั้วกั้นไว้เฉยๆ เราพูดบ่อยนะ เราพูดว่าเราเป็นพระปฏิบัติ แต่ถ้าพูดอย่างนี้ไป ทางฝ่ายปริยัติเขาจะบอกว่าเราพูดผิด ศีลก็คือ ศีล ๕ ศีล ๘ นี่

ไอ้ศีล ๕ ศีล ๘ มันไม่ใช่ศีลทั้งหมดน่ะ มันเป็นข้อห้าม ศีลจริงๆ คือหัวใจของเราไง หัวใจของเราโดยปกติก็คือตัวศีล ศีลคือความปกติของใจ ใจมันนิ่งใจมันเย็นนี่ตัวศีล หลวงปู่ฝั้นท่านพูดชัดเจนเลยนะ ศีล ๕ นะ หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสองศีล ๕ ศีล ๕ คือตัวเราไง คือหัวใจเราไง ถ้าหัวใจปกตินี่ ไอ้ข้อบังคับ ๕ อย่างนี้ เราก็อย่าทำผิดพลาดไอ้ข้อบังคับ ๘ อย่างอย่าทำผิดพลาด ทีนี้ถ้าทำผิดพลาดก็ต่อศีล

ศีลทะลุ ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุคือผิดครึ่งๆ กลางๆ ศีลด่างศีลพร้อยและศีลขาด ศีลขาดก็คือขอเขา เขาไม่ให้ก็ขโมยกูหยิบเลย กูจะเอา นี่ศีลขาด พอขอเขา เขาไม่ให้ ขโมยนะ อืม อยากได้ ศีลเศร้าหมองนะ เออ อยากได้ แต่ไม่เอา ผิดศีล เห็นไหม ศีลบังคับไว้ได้ ศีลอย่างนี้ ศีลด่างศีลพร้อย อย่างนี้ สีลัพพตปรามาส มันเป็นการลูบคลำศีล

สีลัพพตปรามาส คือโลเล คือเราไม่จริงจังกับศีล คำว่าสีลัพพตปรามาส สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สีลัพพตปรามาสมันจะไปขาดตรง เป็นพระโสดาบันน่ะ พระโสดาบันละ สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดในกายมันขาดไป ทิฏฐิมานะความเห็นผิดมันขาด ทีนี้พอมันขาดแล้วความลูบคลำจะมีไหม เรารู้ว่าไฟเราจะหยิบไหม

แต่ถ้ารู้ เอ๊ ไอ้นี่มันอะไรๆ อย่างเด็กๆ นี่มันก็จับ โอ้โฮ ร้อน นี่สีลัพพตปรามาส คือมันไม่แน่ใจไง แต่ถ้ามันเป็นความจริง เรารู้ว่าไฟนี่ ใครจะเอามือไปจับไฟให้มันร้อน แต่ถ้าจิตมันขาดนี่ สักกายทิฏฐิ มันขาด ผลัวะ สีลัพพตปรามาส มันอยู่ที่ไหน สีลัพพตปรามาส มันขาดไปแล้ว ขาดเพราะอะไร ขาดเพราะกูรู้ชัดไง

แต่นี่ ที่เราพูด อันนี้บางทีมันมาจากที่เราบอกว่า หมอเขามาถามว่าเขาปฏิบัติ แล้วมันเป็นสีลัพพตปรามาสไหม เป็นทั้งหมดนะ เป็นทั้งนั้นเลย เพราะเรายังโลเลกันอยู่ไง เรายังทำ ยังไม่ถึงที่สุด คือหัวใจเรายังไม่ชัดเจน ไม่ขาด ถ้าหัวใจ สักกายทิฏฐิมันขาดปั๊บ มันขาดหมด พอขาดหมดแล้วนี่ สีลัพพตปรามาสไม่มีเลย ไม่มีอะไรผิดศีลไหม พระโสดาบันผิดศีลไหม ผิด

นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันมีลูก ๒๑ คนน่ะ นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบนะ มีครอบครัวไปน่ะ คำว่าผิดศีลน่ะ มันอธิศีล ศีลมันละเอียดลึกซึ้งกว่านี้อีกเยอะแยะ ฉะนั้นถือว่า ศีล ๕ ศีล ๘ ที่ว่าถือศีล ๕ ศีล ๘ ตลอดชีวิตน่ะเป็นสีลัพพตปรามาสไหม สีลัพพตปรามาสเพราะใจเรายังโลเลอยู่

สีลัพพตปรามาสคือความลังเลสงสัยในศีล แต่ทีนี้ เราสงสัย ผู้ที่ถือศีลนี่สงสัยแน่นอน พอทำไปแล้วนะผิด ไม่ผิดๆ นี่สีลัพพตปรามาส ทำไปแล้วไง เอ๊ ผิดศีลหรือเปล่าๆ ผิดศีลไม่ผิดศีล ถ้าอย่างนั้นปั๊บ ขอศีลใหม่เลย ขอศีลใหม่ได้ นี่แสดงว่าฟังเทศน์เยอะ จับปูใส่กระด้ง อย่าสงสัยนะไม่ต้องสงสัยหรอก เราพูดบ่อยนะ จริงๆ นิสัยเราเป็นคนจริงมาก

เราทำอะไร เราจะอธิษฐาน เราบวชพรรษาแรก ไม่นอนเลย ไม่นอน ๓-๔ เดือนนี่ไม่นอน เรานี่จริงจังมากนะ แล้วเราทำอะไรผิดนี่เราเสียใจมาก แล้วประสาเราโกรธตัวเองมาก ถ้าตัวเองอะไรผิดนะ เราแค้นมากเลย ทำไมผิดๆ ไม่ยอมเลยนะ แม้แต่ตัวเองยังไม่ให้อภัยเลยนะ เรานี่ เรานี้เป็นคนจริงมากๆ การประพฤติปฏิบัติมา เราย้อนกลับไปเลย ถ้าทำอะไรผิดนี่ เราจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองเลย ต้องแก้ไขต้องดัดแปลงเดี๋ยวนี้ ลงโทษตัวเองๆ หนักมาก เวลาปฏิบัตินี่ ทั้งคืนๆ เลย เดินจงกรมทั้งคืนไม่ให้ไปไหนเลย

ฉะนั้นนี่ เราพูดมาแล้วนะ แล้วพอเราปฏิบัติมานี่ เราย้อนกลับไปดูเราไง เวลาใครมา อย่างนี้มาเราถึงเห็นใจไง มันละล้าละลังนะ มันไม่รู้อะไรถูกอะไรผิดน่ะ กึ่งๆ สุกๆ ดิบๆ อะไรก็ไม่เอา จิตเราจะเอาจริงอยู่ แต่ปัญญามันไม่ขาดน่ะ ฉะนั้นเวลาปฏิบัติไป เราถึงบอกว่าผิดหมดน่ะ ผิดตรงนี้ ผิดตรงมีกิเลสอยู่ อย่างที่เราเป็น มันละล้าละลัง

เราฟันธงไม่ได้ไง เราฟันธงไม่ถูก เรายังไม่รู้ แต่ถ้ามันขาด ผลัวะ โอ้ ชัดเจนเลย เราถึงได้บอก ใครบอกสีลัพพตปรามาสนะ โทษนะ เพราะกูเป็นมาแล้ว กูเป็นมาตลอด มันละล้าละลัง ยิ่งขึ้นสูงไปนะ มันก็สงสัยอันสูงขึ้นไป ลังเลสงสัยนั่นแหละ สีลัพพตปรามาส แต่พอมันขาดเป็นช่วงเป็นตอน มันจะหายไป

ฉะนั้นไม่ต้องกังวล มันจะเป็นไม่เป็นนะ เพราะเราพูดนะ มันพูดกับคนปฏิบัติกับคนหลากหลายแล้วเราไปฟัง เราไม่อยู่ตรงนั้นไง พอเราหลากหลายเกินไป อย่างเช่นเราไม่จำเป็น เราไม่ได้อยู่ในห้องปลอดเชื้อ เราก็ไม่จำเป็น เราจะมีอะไรเลอะบ้างก็ไม่เป็นไรใช่ไหม แต่ถ้าเราต้องปลอดเชื้อตลอดเวลานี่ ทุกข์ตายห่าเลย

นี่พอถือศีลเข้ามาก็ผิดไม่ได้เลย สีลัพพตปรามาสๆ มันไม่เป็นไร คำว่าไม่เป็นไรปุ๊บ พูดอย่างนี้ปั๊บจะอ่อนแอ เราไม่ต้องการให้อ่อนแอ เราต้องการให้เข้มแข็ง แต่เราเข้าใจเรื่องกิเลส กิเลสมันหลอกมันล่อ มันทำให้เราล้มลุกคลุกคลานนะ เราถึงบอกว่า ถ้าเป็นสีลัพพตปรามาสไหม เราพูดไว้เอง บอกว่าที่ปฏิบัติเป็นสีลัพพตปรามาสทั้งนั้นแหละ เว้นไว้แต่ถ้ามันขาดเป็นช่วงๆ ไปน่ะ มันถึงจะขาด

ฉะนั้น เวลามันเป็นแล้วอย่าไปสนใจ เขาจะพูดคำนี้เพราะว่า คำว่าสีลัพพตปรามาส ทำแล้วไม่ดี ทุกคนก็ไม่อยากได้ อยากทำให้มันขาวสะอาดบริสุทธิ์ ทีนี้มันจะสะอาดบริสุทธิ์ไปไม่ได้เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ไง ในเมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไปไม่ได้ เราทำไปนี่ เรายิ่งทุกข์ตายเลย แต่ถ้าในเมื่อ มันมีเชื้อมีไข มีสิ่งที่มาปนในหัวใจเราล่ะ

เราก็พยายามจะรักษามันอยู่ เราก็พยายามจะแก้ไขมันอยู่ เราจะทำอยู่ๆ เราจะแก้ไขอยู่ แต่สิ่งที่มันมีอยู่ มันมีอยู่แล้วจะทำอย่างไรล่ะ ก็เราจะแก้ไขอยู่ก็ทำไป อย่าไปทุกข์ใจ บังเอิญว่าเราละล้าละลังมา เราเห็นอย่างนี้มา ฉะนั้นเวลาพูด มันพูดแบบพระปฏิบัตินะ ถึงบอกว่า เอามาเทียบกันไม่ได้ หมายถึงว่า คนถือศีล ๕ ก็คือศีล ๕ ของเขา

แล้วมันอยู่ที่จริตนิสัยของคน บางคนจริงจังแค่ไหน เราก็ทำประสาเรานี่แหละ คือประสาเราว่า เราจะเอาศีล เอากฎหมายไปวัดคนอื่นไม่ได้ เราต้องวัดตัวเราเองไง เราทำศีล ๕ บริสุทธิ์เลย เราเห็นคนอื่น เฮ้ย ศีลมึงผิด ศีลมึงขาด แล้วมันเรื่องอะไรของเราล่ะ เรื่องของเราก็รักษาเรานี่สิ รักษาเราดูของเรา แล้วของคนอื่นเขาเป็นอย่างนั้น

เราบอก มันเทียบกันไม่ได้ไง เพราะนิสัยเขาเป็นอย่างนั้น บางคนเห็นไหมถือศีล ๕ ยกเว้นไว้ข้อหนึ่ง เฮ้ยใครชอบอะไรล่ะ ใครอยากกินเหล้า ถือศีล ๕ ยกเว้นข้อกินเหล้า แล้วบอกมึงถือศีล ๕ อย่างไรล่ะ เขาก็บอก อ้าว ก็เขาก็ถือศีลของเขา ก็ยังดียังได้ ๔ ข้อ คือมันจริตของคนนะ คือเขาทำความดีได้แค่นั้น ดีกว่าเขาไม่ทำ เราทำความดีได้มากกว่าเราทำได้ดีกว่าเขา เราทำให้ดีมากขึ้นไปกว่านี้ ทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

เราต้องเอาพระพุทธเจ้า เอาครูบาอาจารย์เราเป็นแบบอย่าง อย่าไปเอาคนที่ท้อถอยท้อแท้เป็นแบบอย่าง เอาเป็นแบบอย่างให้กำลังใจเรา ว่าเห็นไหม ดูสิ สิ่งนี้ต่ำสิ่งนี้สูง แล้วเราจะพัฒนาอย่างไร

ถาม : ๑. พระบวชใหม่มีคำเรียกท่านว่าครูบาแต่ทำไมพระอริยเจ้าทางล้านนาก็ถูกเรียกว่าครูบา เช่นครูบาศรีวิชัย ครูบาเกษม เช่นเดียวกันครับ หรือว่าเป็นคติ เกี่ยวกับท้องถิ่นที่แตกต่างกัน

หลวงพ่อ : ตอบเสร็จแล้ว ท้องถิ่นมันแตกต่างกันนี่ เพราะคำว่าครูบา คำว่า ญาครูเห็นไหม คำว่าญาครู ก็คือหลวงตา มันเป็นภาษาท้องถิ่นไง ภาษาท้องถิ่น ถ้าเวลาเราไป เราไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่นปั๊บ เราจะไม่เข้าใจศัพท์เรียก ทีนี้ ถ้าเราเข้าใจภาษาท้องถิ่นปั๊บ มันก็ต้องย้อนกลับมาพระไตรปิฎก บาลีถึงไม่ให้แก้ไขเพราะบาลีมันเข้าไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นไหม

อยู่ที่ท้องถิ่นยังเข้ามาหาเรา อย่างเช่นพราหมณ์นี่ มันก็ยังพูดภาษาไทยนี่ พุทธเมืองไทย พูดภาษาไทย พุทธเมืองไทยเห็นไหม ทั้งพุทธทั้งพราหมณ์ปนกัน พอเข้าไปในจีนเห็นไหม จีนเขามีเต๋า เขามีสิ่งที่เคารพบูชาของเขาอยู่แล้ว มันก็เป็นเซนไป เวลาเข้าไปมันอยู่ที่ว่าเราเข้าไปที่ไหน พื้นถิ่นของเขา นี่คำว่าครูบานี่ ทางพระบวชใหม่ทางอีสาน ครูบานี่คือหลวงพี่ คำเดียวกัน แต่มันเป็นศัพท์ ถ้าครูบาทางอีสานนะ ทางภาคกลางก็หลวงพี่

แต่ถ้าครูบาไปทางภาคเหนือนะ ครูบานี่เป็นแบบว่าหลวงปู่ ถ้าเป็นพระเขาก็เรียกตุ๊หลวง ตุ๊เจ้า ถ้าครูบานี่คือสุดยอดพระ ทีนี้เราอยู่ที่ท้องถิ่นใดล่ะ ถ้าครูบาทางเหนือนะทางล้านนานะ อย่าไปแตะนะ นั่นคือสุดยอดหัวใจเลยล่ะ อย่าแตะนะ แล้วถ้าเราอยู่อีสาน ครูบาคือเพื่อนกัน ครูบาคือหลวงพี่ไง หลวงพี่ไปไหน หลวงพี่ๆ ครูบาคือหลวงพี่ ทางฝ่ายอีสานนะ

แต่ถ้าไปทางเหนือ โฮ ครูบานี่ ไม่ได้นะ ถ้าครูบาของเขาก็แบบว่า โอ้โฮ สุดเหนือหัวเลย ไอ้นี่เป็นภาษาท้องถิ่นของเขา เพราะว่าศาสนาเข้ามา ทางล้านนาตอนมีกษัตริย์น่ะ เขาทำสังคายนานะ สังคายนาพระไตรปิฎกฉบับเชียงใหม่นี่ พวกเราไม่ค่อยยอมรับกัน คือทางวิชาการมันคงไม่แน่นพอนะ สังคายนาของกษัตริย์ล้านนา กษัตริย์ในพม่า กษัตริย์ในเมืองไทย ทุกคนเป็นชาวพุทธด้วยกันทั้งหมด พุทธที่เป็นชาวพุทธนี่

ดูสิ พระจอมเกล้า พระจุลจอมเกล้า ร. 5 พิมพ์พระไตรปิฎกครบ ๔๕ เล่มครั้งแรก ที่แจกจ่ายไปทั่วโลก ก่อนหน้านั้นมา พระไตรปิฎกไม่ครบ ๔๕ เล่มนะ มันต้นสุโขทัยสมัยอยุธยานะเผากันมาตลอดมาสำเร็จในสมัยพระจุลจอมเกล้านี่เอง นี่พระไตรปิฎก

อ้างพุทธพจน์ๆ นี่ มึงว่าพุทธพจน์นี่ใครแสวงหามา ใครรวมเล่มมา พุทธพจน์ๆ นี่ไง เหมือนเด็กรุ่นใหม่นะใช้ปัญญาสายตรงๆนะ ปัญญาอะไรของมึง มึงเกิดทันหรือเปล่า เด็กรุ่นใหม่นะ อู้ย ภาวนาเก่งมาก โอ๋ พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย อันนี้พูดถึงเป็นชาวพุทธด้วยกัน แล้วแบบว่าธรรมดานะปุถุชนก็ต้องทำดีด้วยกันทั้งนั้นละ อันนี้คำว่าครูบานะ

ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อ ควรแผ่เมตตาถึงกับเจ้ากรรมนายเวรด้วยหรือไม่ครับ

หลวงพ่อ : ควรอย่างมากๆ นะ การแผ่เมตตา ทำความดี การแผ่เมตตานี่มันเป็นการชำระกิเลส แบบว่าโทสจริต คนขี้โกรธ คนขี้โมโห แล้วก็บอกว่าไม่อยากโมโหๆ เลย แล้วจะไปแก้มันอย่างไรล่ะ นี่แผ่เมตตา แผ่เมตตาเขา สรรพสัตว์เขาเป็นสัตว์เกิดมาร่วมโลก เราโมโหเขาทำไม

การแผ่เมตตารักษาหัวใจได้ดีมากๆ เลยนะ เราหัดแผ่เมตตา มีเพื่อนมาหานะครูบาหลวงพี่ ผมก็รู้นะอะไรผิดๆๆ นะ ผมรู้หมดล่ะ เงินเดือนออกทีไรเกลี้ยงเลย แล้วก็กู้เขาใช้ทุกเดือนเลย เห็นไหม รู้ทุกเดือนน่ะ เราก็สอนอย่างนี้ รู้ดีรู้ชั่วทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่ได้ฝึก ดีชั่วพูดกันปากเปียกปากแฉะ พูดได้หมด ความดีความชั่วใครชั่งได้หมดน่ะ

แต่ทำดีทำชั่วนี่อีกเรื่องหนึ่ง นี่ก็เหมือนกัน แผ่เมตตานะมันฝึกจิตไง เวลาโกรธเขา อาฆาตเขา ยิ่งโกรธยิ่งอาฆาต จิตใจมันยิ่งหนักหน่วง ยิ่งผูกพยาบาทไปเรื่อย แผ่เมตตาให้มันเจ้ากรรมนายเวรต้องแผ่ เจ้ากรรมนายเวรนี่สุดยอดมากเลย นี่ธรรมของพระพุทธเจ้า หลวงตาถึงสอนมากเลย ใจเขาใจเรา เขาจะชั่วขนาดไหนเรื่องของเขา

รักษาใจเราให้ดี ถ้าเขาจะดีได้เราช่วยเหลือเขาด้วย แต่ถ้าเราช่วยเหลือเขาไม่ได้ ให้รักษาใจเราอย่าให้ใจเราชั่วแบบเขา รักษาใจเราให้ได้ นี่ครูบาอาจารย์เราสอน นี่หลักธรรม ต้องแผ่เมตตาไหม ต้องแผ่! แผ่เยอะๆ ด้วย! จิตใจเราจะได้ดีไง แต่มันไม่ยอมแผ่ ศักดิ์ศรี มันทำข้าๆ แผ่ไม่ได้เห็นไหม อาฆาตพยาบาท นี่ยาแก้กัน แผ่เมตตานี่ยาแก้ ยาแก้ทุกข์ แต่เราไม่รู้

ทางโลกไม่ได้ ก็เขาทำเรานะๆ แต่ถ้าทางธรรมนะ ต้องแผ่ยิ่งทำเราต้องแผ่ให้มันเยอะๆ เราจะได้ไม่อาฆาตมัน เราจะได้รักษาใจเรา ใจเราจะได้สูงกว่าเขา มันทำยาก แหม มันทำง่าย พระพุทธเจ้าไม่ลำบากอย่างนี้หรอก พระพุทธเจ้าไปพูดที่ไหนไม่มีใครฟัง ให้เสียสละอย่างเดียว อะไรมาก็เสียสละ มันทำยาก แต่ผลมันให้คุ้มค่ามากนะ ผลดีมากๆ เลย แต่โลกมองไม่เห็น มันคนละมุมมองกันไง ทางโลกก็ต้องกว้านเข้ามา ของกูๆ ไง ทางศาสนา หลวงตาเห็นไหม หมื่นๆ ล้าน เอาไปๆ เห็นไหมมุมมองมันกลับกันนะ โลกกับธรรม

ถาม : ควรตามดูจิตหรือควรทำจิตให้สงบ ช่วงหลังนิวรณ์มาก จิตนั่งไม่สงบเลย

หลวงพ่อ : ดูจิตนี่ ถ้ามันพูดสั้นๆ ว่าดูจิตโดยตั้งใจ เราไม่ใช้ มีใครมาหาเรา เราบอกให้พิจารณาไม่ให้ดู การพิจารณาคือการแยกแยะ การดูเฉยๆ ดูเพ่ง อย่างไรเราก็ไม่เห็นด้วยฉะนั้น ถ้าการดูจิต ดูอย่างไรมันก็ไหล มันก็ไปของมันอย่างนั้นล่ะ อันนี้มันเป็นคำพูดของเขาและมันก็เป็นความเห็นของเขา

เพราะการดูจิตเราจะตีแบบอภิธรรม ดูนามรูปก็ดูจิต เพราะนามรูปกับจิตนี่มันเข้าด้วยกัน สังคมเขาต้องขยายใหญ่โตมากเลย ไอ้ดูจิตกับนามรูป คุยด้วยกันภาษาเดียวกัน แล้วพอคุยด้วยกันเป็นพวกเดียวกัน และก็เฮไปทางเดียวกันคือโลกหมด ฉะนั้น ถ้าตามดูจิตควรทำจิตให้สงบ แต่วิธีการดูจิตเป็นวิธีอันหนึ่งที่เขาว่าเขาทำกันได้

แต่เรา ประสาเรานะ เราว่ามันทำแล้ว อย่างที่ว่านี่ เราเทศน์อยู่กัณฑ์หนึ่ง กลับไปสู่กิเลส การปฏิบัติกลับไปสู่กิเลส คือกลับไปสู่จิตเดิมแท้คือกลับไปสู่กิเลสทั้งหมด ไม่ใช่การชำระกิเลส การดูจิต การพิจารณาของการใช้ปัญญา คืนสู่กิเลส คืนสู่สภาวะของจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้คือตัวภพ เพราะไม่ได้มีการกระทำ มันไม่เป็นมรรค

ฉะนั้น ถ้าทำจิตให้สงบ แล้วช่วงหลังมีนิวรณ์มาก มีนิวรณ์เพราะจิตมันไม่สงบใช่ไหม มีนิวรณ์มากมันต้องแก้ เราพูดไว้ว่าทำไมต้องพุทโธ พุทโธๆๆ นี่ เป็นพุทธานุสติ มันเป็นความสะอาด พุทโธๆๆ นี่ ความคิดเหมือนกันทำไมมันสะอาดล่ะ จิตมันสกปรกจะสะอาดได้อย่างไร นี่เพราะจิตมันสกปรกมันคิดอกุศล คิดโดยธรรมชาติของมัน นี่คือความคิดของเรา คิดโดยอกุศล

พุทโธๆๆ ความคิดเหมือนกัน แต่เราพุทโธๆๆ นี่มันไม่มีใครเข้ามาเจือจางมันถึงมาขาวกับดำ ถ้าเราพุทโธๆๆ นี่ มันแบบว่าคนที่ปฏิบัติไม่เป็น ปฏิบัติได้ยาก มาปฏิบัติได้เลย แต่ถ้าเป็นอานาปานสติ คือกำหนดลมหายใจ ลมเป็นกลาง จิตจะให้บวกก็ได้ให้ลบก็ได้ แต่ถ้ามัน พุทโธๆๆ ตลอดนะ ดูจิตก็เหมือนกัน ดูจิตๆๆ นี่ โจรก็ดูได้ โจรก็ดูจิตได้ เศรษฐี มหาเศรษฐีก็ดูจิตได้ ก็ดูได้ใช่ไหม เพราะมันเป็นกลางใช่ไหม

ดูจิต ใครก็ดูได้ใช่ไหม แต่พุทโธๆๆ นี่ เราพุทโธ คำว่าพุทโธมันต้องเป็นพุทธานุสติ พุทโธ ถ้า โจรจะดูพุทโธ โจรก็ต้องกำหนดพุทโธ เพราะพุทโธนี่มันก็ดึงจิตออกมาอยู่ที่พุทโธเพราะมันสะอาด คำว่าพุทโธมันสะอาด สะอาดเพราะอะไร เพราะมันเป็นความคิดเฉยๆ ความคิด ความเป็นพุทธานุสติ ความคิดเฉยๆ ดึงจิตออกมาอยู่ที่พุทโธ ออกมาอยู่ที่ความสะอาดนี้

พอจิตมันสงบ มันก็สะอาดด้วยสัมมาสมาธิ นี่ไง ที่ว่าดูจิตๆๆ มันก็เหมือนอานาปานสติดูจิต ดูจิตดูเข้าข้าง เราดูแล้วเราเข้าข้างเราเห็นไหม ดูจิต โอ จิตกูสงบโว้ย จิตกูดีสุดยอดเลย อ้าว ก็ดูจิต เนี่ย แล้วใครเป็นคนดู แต่ถ้าเป็นพุทโธๆๆ ล่ะ มันก็ต้องมีเจตนามันต้องมีสติ ตัวสตินั้นคือตัวตั้งมั่น คือตัวที่ทำให้จิตมันดูได้ เพราะทำให้จิตมันทำงานโดยปกติ

ถ้าไม่มีสติ มันก็พุทโธสักแต่ว่า พุทโธอยู่กรุงเทพฯ กูนั่งอยู่นี่ กำหนดพุทโธเลย มันไม่ถึงกันเห็นไหม ฉะนั้นควรตามดูจิต แต่ถ้าใครปฏิบัติดูจิตมานะ ถ้าทำแล้วดีนะ เอาเลยสาธุ เพราะเราก็บอกแล้วว่ามันเปิดกว้างอะไรก็ได้ คำว่าดูจิตนี่ เพราะคำว่าดูจิต ดูไปสิ คำว่าดูจิตมันจะย้ำอยู่อย่างนั้นล่ะ มันก็จะได้แค่นี้ มันอยู่อย่างนั้นไป

แต่ถ้าพิจารณาใช่ไหม ดูเห็นไหม คำที่พูดว่า ถ้าจิตมันสกปรกคือกิเลส ถ้าพุทโธมันขาวกับดำ ถ้าเรามีปัญญาเราพิจารณาเห็นไหม เราแยกแยะว่าผิดหรือถูก ความคิดเราดีหรือชั่วถ้าความคิดเราชั่วเราเห็นโทษของมัน นั่นคือปัญญา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ดูจิตเฉยๆ มันยุบตัวลง มันแช่อยู่อย่างนั้น เราว่าตามหลักของเรา

ถาม : ผู้เริ่มปฏิบัติระหว่างการบริกรรมพุทโธ กับยุบหนอพองหนอเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร แตกต่างกันในการทำให้จิตเข้าหรือเกิดสมาธิช้าหรือเร็วแตกต่างกันอย่างไร

หลวงพ่อ : พุทโธนี่แหละ เราว่าพุทโธนี่ เข้าสมาธิด้วยเนื้อหาสาระด้วยความเป็นจริง ยุบหนอพองหนอหรือสิ่งต่างๆ ที่เขาทำกัน เราไม่เคยเห็นด้วย เพราะอะไร เพราะการว่ายุบหนอพองหนอ เราว่าไปสร้างอารมณ์อีกอารมณ์หนึ่ง แล้วพุทโธสร้างอารมณ์ไหม พุทโธก็ต้องสร้าง ไม่สร้างจะเป็นพุทโธได้อย่างไร พุทโธๆๆ นี่ ขาวกับดำใช่ไหม

แต่ยุบหนอพองหนอ ดูสิพุทโธๆๆ ยังนั่งหลับเลย ยุบหนอพองหนอก็เหมือนกันเดี๋ยวมันก็หลับ มันหลับเลยนะ เพราะมันอยู่กับอารมณ์สร้าง แต่ถ้าพุทโธนี่ เพราะว่าอารมณ์สร้างก็เหมือนความคิดนี่ ความคิดนี่จิตสร้างนะ ถ้าจิตไม่ออกมากับความคิดนี่ แบบว่าเข้าเกียร์ไม่เป็นอันเดียวกัน ความคิดเกิดไม่ได้

อย่างเช่น เวลาเรานั่งเหม่อๆ อย่างนี้ หรือเรามองภาพสิ่งใด เราไม่รับรู้ภาพนั้นเยอะแยะไป คือตาเห็นภาพนะแต่จิตมันไม่รับรู้ด้วยไง คือจิตมันไม่ทำงาน เนี่ย เวลาทำไมมันเป็นอย่างนั้นได้ ฉะนั้นว่า เราเน้นพุทโธ แต่ถ้าใครยุบหนอพองหนอ ดูจิต หรือนามรูปนี่ คือการกำหนดดู เราพูดเลยว่าพวกนี้ทำสมาธิไม่เข้าสมาธิ อยู่แต่สัญญาอารมณ์สร้างอารมณ์ๆ หนึ่งขึ้นมา ไม่เป็นสมาธิๆ แล้วถ้าไม่เป็นสมาธิ ทำไมเขาพิจารณากันได้ เขาใช้ปัญญากันได้ ก็ปัญญาได้ ก็หมุนอยู่อย่างนั้น

กูปฏิบัติมากี่สิบปี ปฏิบัติมาประชากรทั้งประเทศไทย กูไม่เคยเห็นมีใครเป็นพระโสดาบันสักคนหนึ่ง เพราะอะไรเพราะพื้นฐานมันไม่มี แล้วปัจจุบันนี้ เห็นไหม ดูจิตกันน่ะพระอรหันต์ พระโสดาบัน พระอนาคา เต็มประเทศไทยเลย โอ้ยเดินชนกันเลยโสดาบันที่พวกมึงสร้างกันขึ้นมา กูไม่เชื่อ โสดาบันต้องบอกมาว่าละสักกายทิฏฐิอย่างไร สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิของจิตที่มันหลุดออกไป หลุดอย่างไร แล้ววิธีการที่ทำให้หลุดมันอยู่ที่ไหน แต่เขาบอก เขาก็มีเขาทำเสร็จก็ขณะจิตของครูบาอาจารย์ของเราพูดออกมาเห็นไหม เขาก็จับเอาไปเป็นความรู้สึกของเขาได้

ถาม : อันนี้พูดถึงเรื่องเงินว่าจะได้คืนหรือไม่ได้คืน

หลวงพ่อ : พูดประสาเราว่ามันก็มีเวรกรรมอันหนึ่งด้วย เวรกรรมนี่นะ คำว่าเวรกรรม แล้วบอกคนเรานี่นะ มันมีอยู่ สิ่งที่สร้างมาจากอดีต ๕๐เปอร์เซ็นต์ กับสิ่งในปัจจุบันนี่ ๕๐เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่สร้างมาคือเวรกรรมที่มันสร้างมา แต่สิ่งที่เกิดปัจจุบันนี้คือเกิดในชีวิตของเรา ฉะนั้นสิ่งที่สร้างมามันเรื่องเวรเรื่องกรรม มีมากที่มาคุยกับเรานะ บอกว่ามีปัญหากันมาแบบว่าเขายืมเงินเราหรือเราไปยืมเงินเขาต้องไปทวงเขาไหม

บางคนนะให้เขายืมเงินแล้วบอกว่าไม่ทวงไม่อะไรทั้งสิ้น เขาบอกว่าถ้าเขาจะเอาอะไรไป นี่คนใจบุญสูง เขาบอกว่าเป็นกรรม เขาไม่ตามนะ แต่เวลามาหาเรา เราบอกต้องตาม ต้องตามเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้ เนี่ย ปัจจุบัน ๕๐เปอร์เซ็นต์ ไง คำว่าปัจจุบัน ๕๐เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันนี้เขายืมเงินเราไป และเขายังไม่ได้ใช้เรา เรามีสิทธิใช่ไหม ก็เงินของเราใช่ไหม พระยังมีสิทธิเลย

เนี่ย เราฝากของไว้กับพระนี่ โยมไปถวายของใช่ไหม แล้วฝากของ โยมถวายของเราแต่ฝากพระอื่นไว้ แล้วพอโยมมาบอกนี่ว่า ฝากของนี้ไว้ให้เรา เรานี่มีโอกาสไปยืนให้เขาเห็นได้ ๓ หน ถ้าเขาไม่ให้เรานี่ เราก็ต้องไปบอกเจ้าของว่า ของนี้ไม่ได้มาจากเรา ถ้าเราไปเอามาเป็น นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์นะ เพราะในวินัยสงฆ์ มันมีแพ่งพานิชด้วยนะ มีอาญา ถ้าแบ่งธรรมวินัยนี้เป็นนะ มันก็มีใช่ไหมในปัจจุบันนี้

ถ้าอย่างนั้นแล้วพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนบอกว่าตระกูลใด ถ้าของที่เป็นของในตระกูลเรานี่ เรารู้จักซ่อมแซม รู้จักดูแลนี่ ตระกูลเราจะไม่เสื่อมเลย ใช่ไหม แล้วนี่ก็เหมือนกัน ของที่เขายืมเราไป ตระกูลของเราและเขายืมเงินเราไปแล้วเราไม่ไปทวงคืนแล้วตระกูลเราอยู่ได้ไหม นี่ในนวโกวาทนะ พระพุทธเจ้าสอนขนาดนี้

นี้ในปัจจุบันนี่ เราต้องติดตาม คำว่าติดตามคือในปัจจุบันนี้ แต่ถ้าติดตามแล้วนี่ มันก็มีผลจากกรรมล่ะ กรรมอดีตกรรม ๕๐เปอร์เซ็นต์ อันนั้นน่ะ ว่า ถ้ามันเป็นสิ่งที่มันสร้างมาสิ่งที่มันทำมาทำอย่างไรๆ มันก็เป็นอย่างนั้น คือมันไม่ได้ ก็ของเก่าเขามาเอาคืนนะ แต่ในปัจจุบันเราก็ต้องทำเต็มที่ใช่ไหม เพราะเราไม่รู้เก่าหรือใหม่ แต่ใหม่ปัจจุบันนี่ เราต้องขวนขวายเต็มกำลังของเรา เพราะ ๕๐เปอร์เซ็นต์ นี้ ปัจจุบันนี้ชีวิตนี้มันเป็นอย่างนี้

เราต้องทำตามกำลัง ตามกรรมเวรของเรา ทีนี้พอทำตามกรรมเวรของเรา เราชาวพุทธไง เราก็เชื่อเรื่องกรรมใช่ไหม เราทำเต็มที่แล้ว ถ้าไม่ได้มันก็ไม่ให้เราทุกข์จนเกินไปไง มันตามแล้ว ทำแล้วมันไม่ได้ มันปลงตกไง เออ สุดความสามารถ แต่ถ้าทำกลับมาได้ เราถึงต้องให้สู้ให้ทำ มีคนมาถามบ่อย เราให้ทำอย่างนี้ คือเต็มที่เราเลย แล้วอธิษฐานเอา ใครมาเราบอกให้อธิฐานเลย

อธิษฐานว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เห็นไหม ดูสิ เขาทำบุญกัน เห็นไหม ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ ให้กลับแบบว่าในหลวง คนที่สูงกว่าเรานี่ เราจะไปให้พร เราเล็กกว่าใช่ไหม เราอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สากลโลก ที่คนเขาบูชา ให้คุ้มครองดูแลนี่ก็เหมือนกัน อธิษฐานเลย เดี๋ยวเราให้พร อธิษฐานเอา ถ้ามีสิ่งใดให้มันสมความปรารถนา ประสบความสำเร็จ แล้วเราก็เต็มที่เราเลย ทำของเรา ทำแค่นี้ เราเป็นชาวพุทธเราทำแค่นี้

ถาม : ลูกมีการศึกษาจะจบไม่จบ

หลวงพ่อ : จบแน่นอนเลย ถ้ามันเรียนนะ จบ แล้วทำงานได้ด้วย เรียนแล้วขยันนะจบเราไปธรรมศาสตร์เด็กมันพูดอย่างนี้ เด็กมันถามเราว่า จะเรียนอะไรก็ไม่รู้เลยว่าจะจบหรือไม่จบ บอกเอ็งเรียนไปเถอะเด็กๆ นะ เอ็งเรียนไปเถอะ เรียนให้จบ เรียนไปเถอะอะไรขวนขวาย ขยันแล้วเรียนไป เด็กนะเวลาไปเรียน บางทีเด็กมันแบบว่า มันไม่ทันเขามันก็ท้อแท้นะ แล้วมันก็ไม่รู้ทางออก

บอกเอ็งเรียนไปเถอะ ดูสิ เดี๋ยวนี้เขาจบไปแล้วนี่ เขาออกไปแล้วทำงานตรงวิชาชีพ มันมีสักเท่าไร เรียนจบไปนะ ดูสิจบมาแล้ว เราไปต่อมันหางานทำได้ทั้งนั้นน่ะ คือพื้นฐานวิชาเรา เราต้องเรียนไว้ เราเอาพื้นฐานของเราไว้ ออกไปมันอยู่ที่ เห็นไหม ดูสิครอบครัวใดเขามีธุรกิจของเขา ลูกมันก็ไปทำงานของเขาใช่ไหม เราก็ทำตามตำแหน่งหน้าที่ของเรา

อนาคตนี่ เวรกรรม ดูสิ วงรอบในธุรกิจเห็นไหม ๑๐ ปีก็รอบหนึ่ง นี่มันอนิจจังทั้งนั้นล่ะ เราจะบอกว่ามันเป็นอนิจจัง ถ้าเราจบออกมาธุรกิจกำลังบูมเลยนะโอ้โฮ โชคดีของเราเลย ตอนนี้ใครจบไปไม่มีงานทำนะ มีงานทำไม่มีงานทำก็แล้วแต่ มนุษย์ ต้นทุนของเราที่การเกิดเป็นมนุษย์

เกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยาก พระพุทธเจ้าเปรียบไว้เหมือนเต่าตาบอด อยู่ในทะเล มันมีบ่วงอยู่บ่วงหนึ่ง เต่าตาบอดมันโผล่ขึ้นมาถ้าเกิดในบ่วงนั้นจะได้เกิดเป็นมนุษย์ การได้เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แล้วมันต้องตายไปนะ เกิดเป็นมนุษย์นี่ ดูสิตกนรกอเวจีนี่ มันก็ตกเหมือนอยู่ในคุก เวลาอยู่บนสวรรค์ก็เหมือนอยู่ในสโมสรสันนิบาตเลี้ยงกันอยู่ แล้วมันต้องไปมา ถ้าสวรรค์นรกมันก็เหมือนกัน

แล้วในปัจจุบันนี่ เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ เรามีอิสรภาพอยู่ในคุกทำดีไม่ได้อยู่ในคุกมันโดนบังคับบัญชาไว้ อยู่บนสวรรค์มันก็เพลินจนลืมอะไรไปหมดเลย มันจะใกล้ตาย มันค่อยคิดได้ เราเกิดเป็นมนุษย์นะ ความหิวกระหาย ความทุกข์ความยาก บีบคั้นเราตลอดเวลา เราต้องแสวงหา เราว่าอันนี้เป็นกำไรนะ

อย่างที่ว่าทุกข์ๆ ยากๆ น่ะ กำไรตรงไหน กำไรที่ให้เรานี่ขวนขวายธรรมะมาสอนนี่เห็นไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นสมมุติตามความเป็นจริง ไม่ใช่ของเราหมายถึงว่า เราสั่งไม่ได้เราควบคุมมันไม่ได้แต่มันเป็นของเรา ให้สิทธิเรามาชีวิตหนึ่ง ให้เราเอาร่างกายนี้มาทำคุณงามความดี

และถ้าใครพิจารณากายเข้าไป พิจารณาจิตเข้าไป จิตมันสงบเข้าไป จนเห็นเป็นความจริง จิตนี้จะเป็นอริยภูมิ จะรู้อริยสัจ จะรู้สัจจะความจริงเห็นไหม นี่ชีวิตมนุษย์ มันถึงว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี่มันช่างแสนยาก แต่เราไม่มองถึงว่า เกิดมาแล้วนี่ เอามาเพื่อประพฤติปฏิบัติเอามาเพื่อสิ่งนี้มันบีบคั้นเรา เราเกิดมาแล้วเราก็ทุกข์ๆๆๆ เลย ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเราไปมองสมบัติข้างนอกไง

แล้วถ้ามามองที่เรา เพราะมีเรา เราถึงมีทุกข์ใช่ไหม เพราะมีเรา เราถึงได้ลำบากใช่ไหม ไอ้เรานี่ ถ้ามันเห็นว่าลำบากแล้ว ก็ให้ได้สติให้ได้พิจารณาให้ได้ใคร่ครวญให้จิตนี้มันเปลี่ยนแปลงไปเพื่อประโยชน์กับชีวิตเรา เอวัง